muchness + craziness + Humbleness = Krissada Sukosol Clapp
ลอปติมัมกายของเราคนนี้ทำให้เราประทับใจได้เพียงไม่นานหลังจากที่เขาเดินเข้ามาในห้องพักโรงแรม The Siam ที่ถูกใช้เป็นห้องแต่งตัวสำหรับถ่ายแฟชั่นเซ็ตปก ทั้งความสุภาพเรียบร้อย น้ำเสียงเนิบช้ามีเสน่ห์ และทัศนคติอันน่าทึ่งของเขา
เรื่องราวที่ร้อยเรียง
“ผมไม่อินกับแฟชั่น รถ หรือแกดเจ็ตเท่าไหร่หรอกครับ” น้อย วงพรู หรือกฤษดา สุโกศล แคลปป์ ขยับตัวอย่างเอียงอายในชุดที่ทีมงานจัดให้เขาใส่ถ่ายแฟชั่นเซ็ตในเล่มพร้อมหัวเราะเบา “ถ้ามีเงิน ผมจะเอาเงินไปเที่ยวกับซื้อของเก่าก็คือไปเที่ยวเพื่อหาซื้อของเก่าล่ะครับ เพราะผมชอบประวัติศาสตร์ ทุกครั้งที่เห็นของเหล่านี้ ทำให้ผมคิดว่าของเหล่านี้มาจากไหน มีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น ไม่มีก็อปปี้อะไร เจ้าของเก่าเขาคือใครกันนะ ตอนนี้มาอยู่ในมือเราแล้ว ก็ต้องดูแลให้ดีๆ ก่อนจะเปลี่ยนมือไปหาคนอื่น” และการดูแลของโบราณที่น้อยหลงเสน่ห์อย่างหัวปักหัวปำนั้นก็คือการหาที่ทางให้พวกเขาอยู่อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มาสุมกองรวมกันอยู่ในห้องเก็บของ น้อยจึงตัดสินใจบอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังของสะสมของเขาผ่านโรงแรมสุดหรูเกินห้าดาวริมแม่น้ำเจ้าพระยาอย่าง The Siam ที่ไม่ทิ้งความอินดี้อันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขาด้วยการกำหนดขนาดของโรงแรมสุดจิ๋วไม่ถึง 40 ห้องบนที่ดินผืนใหญ่ทำเลทองราคาประเมินค่าไม่ได้ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ “ผมไม่ใช่นักธุรกิจอะไรนะครับ ที่สร้างโรงแรมนี้ผมเป็นคนให้คอนเซ็ปต์ และมีส่วนร่วมในงานอินทีเรีย สำหรับผม ทุกบทบาทในชีวิตของผมทั้งนักร้อง นักแสดง และเจ้าของโรงแรมนี้ใกล้เคียงกัน เพราะทุกอย่างคือการเล่าเรื่อง การร้องเพลงคือการเล่าเรื่องคนอื่นผ่านบทเพลง การแสดงคือการเล่าเรื่องอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะผมกลายเป็นแมสเซนเจอร์ให้กับบทบาทของตัวละครที่เราสวมอยู่ เวลาสร้างโรงแรม ก็เหมือนกับการสร้างสถานที่พิเศษให้กับแขกที่มาที่นี่ ไม่ต่างอะไรกับเวลาที่พวกเขาไปดูหนัง ดูคอนเสิร์ต ในโรงแรมนี้ต้องมีวิญญาณ เหมือนหนังและเพลงที่ดีต้องมีวิญญาณนั่นล่ะครับ การเล่าเรื่องในโรงแรมของผมคือการเล่าเรื่องต่างๆ ผ่านภาพโบราณที่เราสะสม ให้แขกรู้สึกราวกับอยู่อีกโลกหนึ่งเมื่อก้าวเข้ามาในโรงแรม ได้ขึ้นเรื่อไปดูเมืองเก่า ได้เห็นของเก่า กลิ่นอายเก่าๆ บรรยากาศเก่าๆ มันคือประสบการณ์อีกแบบหนึ่ง ซึ่งคือการเล่าเรื่องราวของผมล่ะครับ”
น้อยบอกกับเราว่า เขาอยากจะเล่าเรื่องวัฒนธรรมไทยในแบบของเขา นั่นคือการเล่าเรื่องผ่านสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาสะสมมาในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์ภาพยนตร์ ตั๋วชมภาพยนตร์ เครื่องพิมพ์ดีดเก่า จดหมายโบราณ จานชามช้อนส้อม โดยในแต่ละห้องพักและห้องกิจกรรมต่างๆ ก็จะมี “นิทาน” ของตัวเองแตกต่างกันออกไป อย่างในห้องฉายภาพยนตร์ก็จะมีตั๋วภาพยนตร์โบราณจากโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุง และเก้าอี้ ดูภาพยนตร์เก่า ในขณะที่ในยิมออกกำลังกายก็ยกเวทีมวยไทยมาตั้ง พร้อมภาพโปสเตอร์มวยไทยโบราณ และอุปกรณ์ชกมวยดั้งเดิม ส่วนสปาก็มีห้องสักยันต์ที่มีบริการสักยันต์ให้กับแขกผู้มาพัก โดยทุกอย่างมีความเป็นไทยผสมอยู่เต็มเปี่ยม น้อยรับหน้าที่ดูแลการตกแต่งกระจุกกระจิกทั้งหมดด้วยตัวเอง ทั้งการจัดวางของโบราณทุกชิ้น การเลือกภาพติดฝาผนังและการเลือกกรอบรูปทั้งโรงแรม เพราะเขาต้องการบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดผ่านภาพต่างๆ นั่นเอง
“เรื่องจิตวิญญาณเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ แต่มันต้องมีอยู่ เหมือนกับเพลงที่เพราะ หนังที่ดี มันจะอยู่ได้นาน เพราะมันมีจิตวิญญาณที่สามารถสร้างฟีลลิ่งที่เราจับต้องไม่ได้ นั่นเป็นสิ่ง ที่ยากที่สุดที่จะไปถึงได้ในงานศิลปะ ทุกคนคงเคยไปโรงแรม ที่มันสวย แต่ไม่มีจิตวิญญาณ คือโรงแรมที่ถ่ายรูปขึ้นนั่นล่ะครับ มนุษย์เองก็ … คือ ทุกคนก็คงมีวิญญาณเนอะ แต่สำหรับ บางคนนั้น เขามีความลึกอะไรบางประการทำให้เราถูกดึงดูดเขาหาเขา มันเป็นฟีลลิ่งที่คนเรียนศิลปะทุกคนต้องไปถึงให้ได้นะครับ ผมว่า” ใช่สิ … ความลึกแบบที่ปรากฏในตัวเขาที่ดึงดูดพวกเราเข้าหาอย่างไรล่ะ … เราแอบคิดในใจแต่ไม่ได้บอกเขา
ตัวตนกับบทบาท
“ผมพยายามพิสูจน์ตัวเองเสมอนะ” น้อยตอบเมื่อเราถามว่าเขาคิดอย่างไรกับความสำเร็จของตัวเอง “แต่ตอนนี้อาจจะรีแลกซ์กว่าเมื่อก่อนนิดหน่อย ที่เขาว่า Life beings at 40. นี่มันก็จริงนะ พอสี่สิบ ก็ไม่อยากคิดมากแล้ว ผมสิ้นสุดกับการพยายามพิสูจน์ตัวเอง พยายามเป็นคนอื่น เริ่มเรียนรู้จากสิ่งที่เคยทำพลาดมาก เริ่มยอมรับความอ่อนแอของตัวเองมากขึ้น เมื่อก่อนผมเห็นว่าบุคลิกและตัวตนของผมมันยังไม่ดีพอ ผมก็พยายามแก้ไข พยายายามมาก แต่พออายุเข้าสี่สิบ ผมก็ยอมรับปมด้อยของตัวเอง ปล่อยวางได้ ใช้ชีวิตให้มีความสุขก็พอ เพราะมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เราเกิดมาแบบนี้ ผมอยากเป็นที่ยอมรับ ยังอยากพิสูจน์ตัวเองเหมือนเดิมนะ เวลาหนังเข้า ออกอัลบั้มใหม่ ผมก็ยังอยากพิสูจน์นะว่าผมมีความสามารถนะ มันเป็น Insecurity ของผมนะครับ เพราะผมเป็นคนคิดมาก เศร้าได้ง่าย ซึ่งมันก็มีข้อดีของมันคือ มันทำให้ผมพยายามมากขึ้น มีไฟ ช่วยผลักดันผมนะครับ ผมกลัวทำงานแล้วออกมาไม่ดีน่ะครับ” เขารีบตอบเมื่อเราเลิกคิ้วเชิงสงสัยถึงความ ‘Insecurity’ ที่เขารู้สึกข้างใน “เล่นหนังก็กลัวไม่ถึง มันเป็นสิ่งที่ผมไม่มีทางเอาชนะได้หรอก เพราะงานศิลปะมันเป็นแบบนี้ ต้องมีคนชอบและไม่ชอบ มันคือ ‘No Win Situation’ แต่มันก็ช่วยผลักดันให้เราพยายามมากขึ้น”
น้อยสารภาพว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนไม่มั่นใจใน ตัวเองเลย เกือบทุกครั้งที่จบคอนเสิร์ต เขาจะกลับไปนั่งเศร้า ที่บ้านเสมอ เขากลัวทุกครั้งเวลาขึ้นเวที การแสดงของเขา จึงออกมา ‘เวอร์’ แบบที่เราเห็นกันจนชินตา เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายและความไม่มั่นใจของตัวเอง การต่อสู้กับความกลัวตรงนี้ได้คือการเปลี่ยนตัวเองเป็นคนละคน เทคนิคที่เขาใช้คือ เขาจะเต้นตลอดเวลา ขยับตัวตลอดเวลา เพราะมันทำให้เขาไม่คิดมากและผ่านคอนเสิร์ตไปได้อย่างตลอดรอดฝั่ง “มันเป็นคอนฟลิกต์นะครับ” น้อยหัวเราะเมื่อเราแซวว่า ไม่มั่นใจในตัวเองแต่กลับเลือกอาชีพที่เป็นจุดสนใจสปอตไลต์ส่องหน้าขนาดนี้ “ผมมองตัวเองว่าผมมีพรสวรรค์ในเรื่องอะไร เรื่องตัวเลขคือไม่ได้เรื่องเลย แต่ผมเก่งเรื่องเพลง เรื่องศิลปะ ผมก็ต้องพยายามทำให้มันเกิดขึ้น มันเลยเกิดปัญหาว่าใจของผมไม่บาลานซ์กับพรสวรรค์ที่มีเลย ชีวิตมันเลยยาก คุณแม่บอกเสมอว่า ถ้าเอาน้อยผสมกับสุกี้ออกมาเป็นคนใหม่ คนคนนั้นจะไปได้ไกลมาก เพราะได้ความมั่นใจ ความกล้าของสุกี้บวกกับพรสวรรค์ของน้อย ใครก็คงฉุดไม่อยู่ แต่ก็อย่างว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก ผมว่ามันเป็นปัญหาหลักของศิลปินนะ คือ เป็นคนคิดมาก เป็นอินโทรเวิร์ต เก็บกด ก็ต้องหาเวทีปล่อยของ ผมเองก็หาทางปลดปล่อยตัวเองผ่านการทำเพลง การแสดง มีเวทีของตัวเอง มันทำให้ผมรู้สึกดีหลังจากได้ ปลดปล่อยออกไป เวลาเล่นคอนเสิร์ตแล้วมันถึง มันรู้สึกดีจริงๆ ส่วนมากผมจะกลับไปเศร้าหลังเลิกเล่นคอนเสิร์ตนั่นล่ะ แต่ถ้าครั้งไหนที่ผมทำได้ถึงจริงๆ ผมก็จะรู้สึก High จริงๆ เป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ”
“จริงๆ แล้วผมเบื่อความไม่มั่นใจในตัวเองของผมนะ เบื่อความคิดด้านลบของตัวเองเหมือนกัน” น้อยพูดต่อ “พอได้มาทำงานบริหารโรงแรมเต็มตัว ทำให้ผมรู้เลยว่างานแสดงงานร้องเพลงของผมมันไม่ใช่ชีวิตจริง เพราะกระบวนการทำงานมันง่ายมาก คุณแค่ท่องบทของตัวเองให้ได้ จำเนื้อเพลงให้ได้ ออกไปแสดง รับเงิน กลับบ้าน จบ แต่ชีวิตจริงมันไม่ใช่แบบนั้น การทำงานโรงแรมทำให้ผมรู้ว่าชีวิตการทำงานจริงๆ คือดูแลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเดินไปได้ ให้งานมันลื่นไหล งานแสดงเลยดูเหมือนการเล่นของเด็กที่มาอยู่ในโลกของผู้ใหญ่ไปเลย ซึ่งมันก็ย้อนแย้งนะครับ เพราะอาชีพที่มัน ‘ไม่จริง’ กลับเป็นอาชีพที่ต้องถ่ายทอดภาพของ ‘โลกจริง’ ออกมาให้เนียนที่สุด ต้องถ่ายทอดชีวิตของคนที่ดิ้นรน คนที่ทำมาหากินบนท้องถนน บนโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งประสบการณ์ตรงนี้ทำให้ผมเขียนเพลงเกี่ยวกับชีวิตคนจริงบนโลกจริง เพราะในท้ายที่สุด ถ้าจะเขียนเพลงเกี่ยวกับนายกฤษดา สุโกศล ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก มันให้แรงบันดาลใจไม่ได้ พลังจะเกิดขึ้นมากกว่าถ้าผมเขียนเพลงเกี่ยวกับคนที่ลำบากและได้เจอแสงสว่างนะครับ”
อีกครึ่งหนึ่งของชีวิต
“ผมนอนเตียงเดียวกับผู้หญิงคนนี้มา 18 ปีแล้วครับ ยาวนานเหลือเกิน” น้อยพูดถึงภรรยา – เมลานี สุโกศล แคลปป์ ด้วยน้ำเสียงและแววตาเปี่ยมไปด้วยความรัก เราเหลือบมองแหวนวงเล็กบางๆ ที่กอดนิ้วนางข้างซ้ายของเขาไว้พลาง อดอมยิ้มไปด้วยไม่ได้ “ตอนที่ได้เจอเมลานีครั้งแรก ผมรู้สึกเหมือนเจอผู้ช่วยชีวิต (Saviour) ตอนนั้นคือผมรู้สึกว่ามีความรักล้นเหลืออยู่ในตัวผม แบบเยอะแยะมาก ผมอยากจะหาคนที่ จะมอบความรักนี้ให้ อยากเจอคนที่ใช่ ก็คงเหมือนกับคนทั่วไป ล่ะมั้งครับ หาอยู่ตั้งนานก็ไม่เจอ อยู่ประเทศไทยก็ไม่เจอก็เลยเศร้าๆ ไปครับ (หัวเราะ) ช่วงวัยยี่สิบปีนี่ผมเศร้ามาก ชีวิตไม่ค่อยมีความสุขหรอก เพิ่งมามีความสุขตอนออกอัลบั้มแรกครับ ก็ 31 แล้ว ผมเจอเมลานีช่วงนั้นพอดี อาจจะสัก 29 – 30 ได้”
ซึ่งน้อยก็แต่งเพลง ‘ทุกสิ่ง’ ให้กับเมลานี ภรรยาและแม่ของลูกทั้งสอง – ฟินน์และโรซี่ “เป็นเพลงเดียวเลยครับที่ผมพูดถึงตัวเอง เขาเป็นผู้หญิงที่มาโปรดผมจริงๆ ผมไม่เคยเจอผู้หญิงที่ดีขนาดเขามาก่อน ผมอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ เราสองคนเริ่มเรียนรู้ไปด้วยกันว่าความรักนั้นมันพัฒนาไปเรื่อยๆ ตามช่วงชีวิตของเราที่เติบโตขึ้น มันไม่ใช่ความรักแบบ Romeo & Juliet หรือแผลเก่านะ แต่มันคือการปรับตัวเข้าหากัน เข้าใจกัน หลังจากมีลูก ความรักก็เปลี่ยนไปในอีกทิศทางหนึ่งไม่เหมือนก่อน แต่มันก็คือความรัก คือการปรับตัว”
Life as a Messenger
“การแสดงคือการเป็นแมสเซนเจอร์เล่าเรื่องราวผ่าน ตัวละครที่เราสวมบทบาท” และในฐานะแมสเซนเจอร์ น้อยจึงรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องดูภาพยนตร์ที่ตัวเองแสดง หรือฟังเพลงที่ตัวเองร้อง “ผมรู้สึกดีที่มีคนฟังเพลงของผม ดูภาพยนตร์ที่ผมแสดง แต่ผมว่าศิลปินทุกคนนั่นแหละ ถ้าเดินเข้าไปใน ร้านอาหารแล้วต้องนั่งกินข้าวและได้ยินเสียงตัวเองร้องเพลง คงเกร็งและกินไม่ลงแน่ๆ มันก็เหมือนกับการมีโรงแรมที่สวยงาม แต่ก็ไม่สามารถรีแลกซ์ได้ในโรงแรมตัวเอง เพราะ เราจะเห็นข้อผิดพลาด พยายามปรับปรุงโน่นนี่ อยากดูแลแขก เรียกสตาฟฟ์ไปทำโน่นทำนี่ อารมณ์ประมาณนั้นล่ะครับ” น้อยหัวเราะเขินๆ “ผมไม่อยากจะพูดแต่เรื่องด้านลบตลอดการสัมภาษณ์นะ แต่นี่คือธรรมชาติของตัวผม ผมไม่สามารถ ดูภาพยนตร์ที่ตัวเองแสดงครั้งแรกได้อย่างสงบสุข อาจจะเพราะมัวแต่คิดตำหนิการแสดงของตัวเอง มัวแต่คิดมากไป พอดูครั้งที่สองในสายตาของคนอื่นได้ มันก็ดีขึ้นนะ”
ตอนที่น้อยมาถ่ายปกและให้สัมภาษณ์เรานั้น เขาเพิ่งจะเสร็จจากการทัวร์โปรโมทภาพยนตร์เรื่อง ‘ขุนพันธ์’ ที่เขารับบทเป็นจอมโจรสุดโหดคู่กับอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮมในบทสารวัตร ที่จะมาปราบโจรผู้นั้น “บทนี้เป็นบทที่น่ากลัวมากสำหรับผม เพราะมันเป็นบทที่พลิกล็อกมากที่สุด ผมเล่นเป็นตัวละครที่เป็นคนไม่ดี คือเป็นคนเลวเลยนะครับ ผมไม่เคยรับบทร้าย มาก่อนเลย ผมต้องเล่นให้คนดูเชื่อว่าตัวละครนี้เป็นผู้ร้าย และต้องสื่อสารได้ว่าเขาร้ายเพราะอะไร ถ้าเล่นไม่ถึง มันจะตลกไปเลยนะครับ ถือเป็นบทที่เสี่ยงมาก” เมื่อเราถามถึงนักแสดงร่วมอย่างอนันดา น้อยก็ตอบยิ้มๆ ว่า “การเป็นนักแสดงที่เก่ง คุณต้องฉลาด และอนันดาเป็นคนที่ฉลาดมาก เขามีคุณสมบัติของพระเอกที่น้อยคนจะมี ถ้าให้เทียบกับดาราฮอลลีวูด ผมว่าเขาคล้ายแบรด พิตต์ คือ เขาไม่ต้องทำอะไรมาก เขาก็ดึงดูดคนได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องการแสดง ผมว่าเค้าคล้ายลีโอนาร์โด้ ดิคาร์ปิโอในแง่ที่ว่า เวลาลีโอเล่นเป็นคนที่มีตัวตนจริงอย่างฮาร์เวิร์ด ฮิวจ์ พวกเราก็ยอมรับว่านี่คือฮาร์เวิร์ด ฮิวจ์ ทั้งๆ ที่เรา ก็เห็นอยู่ว่าลีโอกำลังเล่นอยู่ อนันดาก็ไม่ต่างกัน เรายอมรับว่าเขาเป็นขุนพันธ์ ทั้งๆ ที่เขาก็คืออนันดานั่นล่ะ และความฉลาดของเขาก็คือเขารู้วิธีการใช้คุณสมบัติของตัวเอง เขาเป็นพระเอก และเขาก็ใช้เทคนิคพระเอกของเขาในการแสดง ในขณะที่ผมเองไม่มีสิ่งที่อนันดามี คือกล้องไม่ได้รักผมเท่ากับที่รักอนันดา ผมไม่ได้เป็นนักแสดงนำแบบชัดเจนเหมือนเขา ผมสู้เขาไม่ได้จริงๆ และผมก็ต้องยอมรับตรงนี้ นั่นก็ทำให้เทคนิคก่อนเข้าฉากของเราสองคนเป็นคนละเทคนิคกันไปเลย เขาจะรีแลกซ์มากก่อนเข้าฉาก ในขณะที่ผมต้องบิวด์อารมณ์อย่างมากก่อนเข้าฉาก ก็คนละสไตล์กันล่ะครับ”
ระหว่างให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ เราก็แอบดูปฏิกิริยาของเขาเวลาพูดถึงอนันดา เขาดูจริงใจมากเมื่อออกปากชมคุณสมบัติของเพื่อนร่วมแสดง “ผมคิดว่าเขาเป็นคนละเจนเนอเรชั่นกับผมนะครับ ผมอายุสี่สิบกลางๆ ในขณะที่เขาอายุสามสิบต้นๆ ตอนคุยกับเขาก็ตลกดี เพราะเราก็ลืมไปว่าเราคนละรุ่นกัน เขาเล่าให้ผมฟังว่า มีคนมาสัมภาษณ์เขาว่า เขาต้องแคสต์บทแข่งกับใครบ้าง บอกเลยนะว่าเขาก็ไม่ได้มีคู่แข่งเยอะนักหรอกในสายตาผม แต่เขาก็ตอบว่า ก็มีเรย์กับชาคริต ผมเลยเตือนเขาว่า น่าจะมีซันนี่อีกคนหนึ่งนะ เขาร้องเฮ้ย … แล้วพูดว่า ซันนี่มันแก่กว่าผมนะพี่น้อย … แล้วเราก็ขำกัน ตลกดีเหมือนกันนะเวลาเห็นเด็กรุ่นใหม่ๆ แบบนี้”
หลังจากนั้น น้อยเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อคอเต่าสำหรับถ่ายแฟชั่นเซ็ต ทีมงานมองหน้าเขา แล้วบอกว่าเขาดูคล้ายคริสเตียน เบล จากภาพยนตร์เรื่อง Equilibrium เขาหัวเราะอายๆ ก่อนจะถามเราว่า “เพราะผมเหมาะกับบทคนโรคจิต ใช่ไหม เพื่อนผมเคยบอกว่าเวลามีบทโรคจิตนะ ทุกคนจะวิ่งเข้าหาผมเป็นคนแรกเลย ทุกคนคิดถึง แต่ผมก็มีบทโรแมนติกผมกำลังจะมีหนังโรแมนติกของ True Vision เป็นโปรเจ็กต์ภาพยนตร์เล็กๆ ผมเล่นกับวีเจจ๋า ก็ลองดู เพราะผมไม่ค่อยมีบทสนทนาในภาพยนตร์กับตัวละครผู้หญิงเท่าไร มันเป็นประสบการณ์ใหม่เลยนะ ผมไม่เคยจีบผู้หญิงในจอมาก่อน” แต่เขาก็อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “แต่ผมก็สารภาพนะว่าผมไม่สนุกเท่าตอนเล่นบทแรงๆ ผมมาเรียนรู้ว่าการเล่น บทโรแมนติกก็สนุกดี แต่มันไม่ … ยังไงดีล่ะ … ผมว่าคนคงไม่ค่อยพูดถึงบทแบบนี้สักเท่าไหร่หรอก ผมเป็นนักแสดงที่ต้องอยู่ในบทที่ถูกต้องนะครับ” และบทที่ถูกต้องล่าสุดของเขาก็คงจะเป็นบทมหาโจรในภาพยนตร์เรื่อง “ขุนพันธ์” นี้สินะ เราแอบอมยิ้มพร้อมกับกระเซ้าเขาว่า เขาก็ดูคล้ายกับตัวละครสุดโหดอย่างฮันนิบาล เลกเตอร์ภาคหนุ่มในลุคนี้ “มันก็เป็นแบบนี้เพราะตัวผมตอนขึ้นคอนเสิร์ตด้วยมั้งครับ เพราะผมดูบ้า ดูระห่ำ บทโรคจิตเลยวิ่งเข้าหา”
ทุกคนไม่ได้คิดถึงน้อย วงพรูแค่เพียงดาราเจ้าบทบาทเท่านั้น แต่หลายคนคงจะคิดถึงเขาในบทบาทนักร้องที่เขา ห่างหายไปนานกว่าหนึ่งทศวรรษอยู่เป็นแน่ “ผมถือว่าผม โชคดีมากที่วงพรูเกิดขึ้นในช่วงที่เพลงอินดี้ และอัลเทอร์เนทีฟ กำลังระเบิดในช่วงสุดท้ายพอดี ยุคเบเกอรี่มิวสิคเป็นช่วงปลาย ’90s จนถึงต้นสองพัน ซึ่งเพลงอินดี้สามารถก้าวข้ามไปมีบทบาทในเพลงแมสได้ไม่ยากนัก พรูเข้ามาถูกจังหวะจริงๆ แต่ยุคนี้มันไม่ใช่แล้ว มันเป็นยุคที่โซเชียลมีเดียครองเมือง มีวัฒนธรรมเกาหลี มีรายการเรียลลิตี้ มีเอเอฟ มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ” น้อยถอนหายใจเบาๆ “ผมรู้สึกว่าช่วงที่พรูมีบทบาทคือช่วงที่เด็กไทยอยากมีไอเด็นติตี้เป็นของตัวเอง เป็นช่วงแสวงหา เป็นช่วงเวลาที่ดีมากเลยนะครับ ผมยังรู้สึกว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เพลงไทยมันเจ๋งจริงๆ มีวงดีๆ เกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด มีไอดอลที่เป็นนักร้องอยู่มากมาย ทั้งป๊อด โมเดิร์นด็อก มาช่า บอยตรัย บอยโกสิยพงษ์ แต่ในปัจจุบันไอดอลจะเป็นสายดาราหมดเลย เป็นนักแสดงเสียส่วนใหญ่ ซึ่งผมเสียดายนะ พูดตรงๆ แต่มันก็ไม่ใช่เวลาของเราแล้วนะ เราก็ต้องยอม … เราเป็นรุ่นพี่ในระดับหนึ่งแล้ว”
แม้ว่าน้อยจะออกความเห็นเรื่องวงการเพลงไทยไปในแนวนั้น แต่เขาเองก็ไม่คิดที่จะทิ้งวงการเพลงที่เขารักหมดใจลงไปได้ เขาแอบกระซิบเราว่าเขากำลังวางแผนที่จะออกอัลบั้มเดี่ยวชุดใหม่อยู่ ซึ่งความกลัวของเขานั้นก็ยังอยู่เป็นเพื่อนเขาอย่างเหนียวแน่นไม่ต่างกับครั้งที่เขาออกอัลบั้มกับพรูในวัยเยาว์ “พอจะออกอัลบั้ม ผมก็กลัวไปก่อนว่ามันจะไม่เวิร์ก ไม่มีใครจำได้ ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครพูดถึง ผมบอกกับภรรยาผมไว้แล้วว่า ถ้าออกอัลบั้มแล้วมันไม่เวิร์กจริงๆ ผมก็จะเศร้าไปประมาณสองสามเดือนนะ เหมือนกับตอนที่ออกอัลบั้มชุดสองของพรูแล้วมันไม่เวิร์กนั่นล่ะครับ” เขาพูดด้วยแววตาสงบนิ่งแต่แฝงความเศร้าไว้ลึกๆ “ตอนนั้นผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องยกระดับวงการเพลงไทยให้มันดีขึ้น บวกกับความโง่ นิดหน่อยด้วยมั้งครับ (หัวเราะ) แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของ การเติบโตในฐานะศิลปิน ทุกวงก็เคยมีอัลบั้มที่ไม่เวิร์กมาก่อน และก็เรียนรู้จากมัน อัลบั้มโซโล่น้อยนี่ก็จะฟังง่ายหน่อยแต่ก็ไม่ป็อปจ๋าเท่ากับพรูชุดแรก คิดว่าน่าจะเป็นพรูอัลบั้มที่สองนั่นล่ะครับ”
อย่างไรก็ตาม การหวนคืนวงการเพลงของน้อยในครั้งนี้นั้น เขาได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เขาปรับสไตล์การร้องของตัวเองให้เสียงต่ำลงให้เสียงหนักขึ้นกว่าเมื่อก่อน “พอย้อนกลับไปฟังเพลงตัวเองอีกครั้ง ผมคิดว่าเสียงผมเหมือนผู้หญิงมากเลย เพราะตอนนั้นผมไม่ได้หัดร้องเพลงจริงจัง เรียกได้ว่าร้องเพลงไม่ค่อยเป็นก็ได้ ผมรู้สึกว่าเสียงผมหวานมากเลย (และน้อยก็ฮัมเพลง “ยังรอคอยเธอเสมอ” ให้เราฟัง) มารอบนี้ผมเลยปรับให้เปลี่ยนไป” นอกเหนือไปจากการร้องเพลงแล้ว เรื่องเนื้อร้องเองก็เติบโตขึ้นไปตามวัยของเขา “ผมเขียนเนื้อไทยด้วยตัวเองไม่ได้จริงๆ ครับ ภาษาไทยของผมไม่แข็งพอก็คงต้องพึ่งบอย โกสิยพงษ์ บอยตรัย และแสตมป์ช่วยเขียนเนื้อให้ พวกเขาเขียนได้ดีมากอยู่แล้วครับ ส่วนเนื้อหาก็จะเป็นเพลงให้กำลังใจเป็นส่วนใหญ่ และเพลงที่เล่าเรื่องราวของคนในสังคม คนที่พบแสงสว่างในชีวิตหลังจากเจอมรสุมชีวิต ทำนองนั้นนะครับ”
เราแทบจะรอให้อัลบั้มโซโล่น้อยออกมาในปลายปีนี้ไม่ไหวแล้วล่ะ ขอสารภาพ