sex is good, sport is great
ตั้งแต่สมัยกีฬาโอลิมปิกโบราณ นักปราชญ์อย่าง Plato (เพลโต) เคยเขียนข้อบังคับไว้ว่า ‘ให้นักกีฬาหลีกเลี่ยงการมีเซ็กซ์ก่อนแข่งขัน’ จนมาถึงช่วง
ยุคต้นคริสตศักราช นักปราชญ์ Pliny (พลีนี) ที่พูดไว้ว่า “นักกีฬา ที่ดูเอื่อยเฉื่อยเนื่องมาจากการมีเซ็กซ์ก่อนแข่ง” เท่าที่ฟังมา การมีเซ็กซ์ก่อนเล่นกีฬาดูจะมีแต่ข้อเสีย แล้วในยุคที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้อย่างยุคนี้มีความคิดเห็นอย่างไร
ความเชื่อแบบโบราณพยายามบอกกลายๆ ว่าการมีเซ็กซ์ ก่อนแข่งกีฬาทำให้เสียพลังงานไปกับกิจกรรมเข้าจังหวะมากกว่า การเล่นกีฬา Muhammad Ali (มูฮัมมัด อาลี) ยอมงดการมีเซ็กซ์ 1-2 อาทิตย์ก่อนขึ้นชก เพราะเชื่อว่าจะทำให้เขาเสียสมาธิระหว่างแข่ง ซึ่งวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ออกมาได้ว่า การงดมีเซ็กซ์นานถึง 4-6 อาทิตย์ จะทำให้ตัวนักกีฬามีความดุดัน ก้าวร้าว ซึ่งเหมาะกับกีฬาที่ต้องเข้าปะทะอยู่บ่อยครั้งเช่น มวยหรือฟุตบอล แต่กลับกันควอเตอร์แบ็คจากทีม นิวยอร์ก เจ็ต Joe Namath (โจ เนแม็ต) ซึ่งเป็นนักกีฬา Hall of Fame ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมมีเซ็กซ์นับครั้งไม่ถ้วนก่อนจะลงแข่ง” ซึ่งเขาก็ยังคงเล่นได้ดี นั่นแปลว่าถ้าหากมีเซ็กซ์ในปริมาณที่พอเหมาะและพักผ่อนเพียงพอ มันจะช่วยเร่งการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง ซึ่งการมีหรือการงดเซ็กซ์ ก็ดูจะมีประโยชน์ที่แตกต่างกันไป
แต่หากเรางดการมีเซ็กซ์นานเกินไป ผลเสียที่ตามมาอาจเป็นความก้าวร้าวที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพเวลาลงเล่น เช่นเข้าสกัดหนัก หรือทำฟาล์วบ่อย และการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ที่น้อยลงจนเกือบจะเท่าเด็กประถม ความจริงการมีเซ็กซ์แบบผู้ชายอย่างเราๆ ใช้แคลเลอรีเท่ากับการเดินขึ้นบันได 2 ชั้น (ประมาณ 100 แคลเลอรี) ทำให้ไม่น่าเป็นปัญหานัก สำหรับ การเล่นกีฬา แต่นักกีฬาอาชีพ สิ่งที่อาจมาพร้อมเซ็กซ์คืองานปาร์ตี้ การกินหรือดื่ม การพักผ่อนไม่เพียงพอ นั่นอาจเป็นเรื่องที่โค้ชและตัวนักกีฬาเองกังวลมากกว่า จึงขอให้ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสียดีกว่า และอีกเรื่องที่กลัวกันก็คือหากคุณเกิดทะเลาะกับคู่ของคุณขึ้นมา จิตใจของตัวนักกีฬาเองก็คงย่ำแย่ไปด้วย แต่เอาเข้าจริงๆ การมีเซ็กซ์ก็ดูจะมีประโยชน์มากกว่าโทษ เพราะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนออกมาอย่างปกติ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดก่อนแข่งจากการหลั่งสารเอนโดฟีนในสมอง และยังเป็นยานอนหลับแบบธรรมชาติช่วยให้เราหลับง่าย (เราเชื่อว่าผู้ชายทุกคนก็เป็น)
วิทยาศาสตร์สมัยนี้ยังช่วยไขความกระจ่างไปอีกขั้น ว่าการมีเซ็กซ์ก่อนแข่งกีฬาแทบไม่มีผลต่อกล้ามเนื้อเลย สิ่งที่สำคัญกว่าคือ Mind Set คือถ้าเราเชื่อว่าการมีเซ็กซ์ก่อนแข่งจะทำให้เราเล่นไม่ดี มันก็เล่นไม่ดี ถ้าเราคิดว่าต้องผูกเชือกรองเท้าสองทบและจะปั่นฟรีคิกแม่นขึ้น มันก็จะแม่นขึ้น ร่างกายของเราจะตอบสนองต่อจิตใต้สำนึกมากกว่าการมีปฏิสัมพันธ์ต่อร่างกาย เพราะฉะนั้น ถ้าอยากจะทำกิจกรรมเข้าจังหวะกันจริงๆ ควรจะทำกันตั้งแต่ตอนเย็น แล้วเข้านอนแต่หัวค่ำ แค่นี้ก็โอเคแล้ว แน่นอนว่าโค้ชบางคนในปัจจุบันก็ยังคงให้นักกีฬาของเขางดเซ็กซ์อยู่ เพราะจะควบคุมได้ยากหากคุมทีมเยาวชน เพราะเด็กๆ ที่ฮอร์โมนคุกรุ่นมักจะทำอะไรโดยไม่ทันยั้งคิด ส่งผลให้ตัวโค้ชนั้นปวดหัวไปตามๆ กัน ยิ่งเป็นกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ยิ่งควบคุมยาก เพราะไออุ่นใดก็คงไม่อุ่นเท่ากับไออุ่นที่มาจาก คู่ของเรา (ฮา)
แต่ดูท่าแล้ว นักกีฬาผู้หญิงน่าจะได้ประโยชน์จากเซ็กซ์ไปเต็มๆ (ก็แน่ล่ะ.. ถ้าเจ้าหล่อนจะนอนเฉยๆ ปล่อยเราทำกิจกรรม เข้าจังหวะเพียงคนเดียว) เพราะกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดจะช่วยคลายความตึงของกล้ามเนื้อบริเวณขาและยังเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ อีกทั้งปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายๆ ครั้ง คนเดินเกมรุกก็คือฝ่ายชายทำให้ฝ่ายหญิงประหยัดแรงเข้าไปอีก การถึงจุดสุดยอด ของฝ่ายหญิงยังช่วยให้เจ้าหล่อนรู้สึกผ่อนคลาย เรียกได้ว่าทั้งประหยัดแรงและเป็นเหมือนยาแก้ปวดตามธรรมชาติไปในตัว
ถ้านอกเหนือจากนั้นบรรยากาศแห่งความยินดีก็ดูเหมือนจะช่วยให้กองเชียร์นั้นมีความสุขจนอยากจะมีเซ็กซ์เช่นกัน จากสถิติจากถุงยางยี่ห้อดังเปิดเผยว่าประเทศเกาหลีใต้ที่เป็นเจ้าภาพร่วมกับญี่ปุ่นในช่วงฟุตบอลโลกปีค.ศ. 2002 นั้นถุงยางขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ดูแล้วการมีเซ็กซ์ก่อนเล่นกีฬาไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายในปัจจุบันตราบใดที่คุณไม่ไล่ทำประตูจนฟ้าเหลืองหรือเข่าอ่อนตั้งแต่หยั่งเท้าลงจากเตียงแล้วละก็… ไม่มีอะไรเสียหาย
Content by Kornpat K.