THE WINNING WAYS
มรดกชิ้นสุดท้ายจากฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกส รายการยูโร 2006 ที่เยอรมนี เขาเป็นผู้เล่นที่เคย ลงเล่นเคียงข้างกับ Luis Figo (หลุยส์ ฟิโก) คนสุดท้ายก่อนจะอำลาทีมชาติ ไม่มีอะไรจะ ยิ่งใหญ่ไปกว่าการคว้าแชมป์หลังจากรอคอยมาอย่างยาวนานกับทีมชาติโปรตุเกสชุดนี้
The Unexpected
ทีมชาติโปรตุเกสถูกจัดอันดับโดย FIFA Ranking ให้อยู่ในอันดับที่ 12 ซึ่งหลายคนคงคาดหวังไว้แค่อย่างดีก็คงติดอันดับ 4 ทีม หรือ 6 ทีมสุดท้าย ใครจะไปคิดว่าทีมที่รอบแบ่งกลุ่มที่ไม่ชนะใครเลยอย่างโปรตุเกสจะเข้ามาได้ลึกขนาดนี้ ซึ่งโปรตุเกสชนะภายในเวลา 90 นาที เพียงโครเอเชีย (1-0) และเวลส์ (2-0) เท่านั้นเอง แน่นอนว่าปรากฏการณ์นี้ ทำให้ใครที่ติดปลายดาบไว้แต่แรกก็จะได้เงินเยอะกว่าคนอื่น อีกเรื่องที่น่าสนใจคือเขาเป็นผู้เล่นคนสุดท้ายที่หลงเหลือมาจากปี 2006 ที่เยอรมนีเป็นเจ้าภาพ ถึงขนาดที่หลุยส์ ฟิโก้ฝากความหวังเอาไว้ที่ตัวเขาว่า “ช่วยสานฝันที่เขาไม่มีวันทำได้” ให้ด้วยการแข่งขันในปีนี้อาจเป็นการแข่งขันทีมชาติครั้งสุดท้ายของ Ricardo Quaresma (ริคาร์โด ควาเรสมา) Pepe (เปเป้) Ricardo Carvalho (ริคาร์โด คาวัลโญ) และ Bruno Alves (บรูโน อัลเวส) ทำให้เราอดคิดถึงพวกเขาเหล่านี้ไม่ได้ ที่ครั้งเมื่อยังหนุ่มยังแน่นต่างก็เป็นตัวหลักของสโมสรในยุโรปมากมาย
The Real Player CR7
ย้อนไปในปี 2003 หากใครยังจำกันได้เมื่อ Sir Alex Ferguson (เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน) ได้เปลี่ยนตัวเจ้าหนูวัย 18 ปีท่าทางกระฉับกระเฉงลงมาในสนามแทนที่ Nicky Butt (นิกกี้ บัตต์) ซึ่งทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า “เจ้าเด็กนี่มันคือใคร” ได้โชว์ฝีไม้ลายมือการเลี้ยง กระชาก สับขาหลอกให้ผู้ชมอย่างเราร้องว้าว และตามอ่านข่าวว่าเจ้าเด็กนี่เป็นใคร แน่นอนว่าการปรากฏตัวของเขาในเวลานั้นสร้างความฮือฮาอยู่พอสมควรด้วยสไตล์การเล่นแบบหวือหวาจนดูเหมือนจะเป็น One Man Show ทำให้เขาถูกเซอร์อเล็กซ์ละลายพฤติกรรม ซึ่งถ้าหากใครเคยได้ยินฉายาของเซอร์ว่า ‘‘เครื่องดูดฝุ่น’’ ให้ลองนึกภาพตามถึงเครื่องดูดฝุ่นที่เป่าลมใส่หน้า (ถึงขนาดที่ว่าเบคแฮมก็เคยโดนปาสตั๊ตใส่มาแล้ว) ซึ่งพอโดนเครื่องดูดฝุ่นเข้าบ่อยๆ ส่งผลให้โรนัลโดรู้จักการเล่นเป็นทีมมากขึ้น ซึ่งพอมาปี 2006-09 เราสามารถเห็นการเล่นที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เปอร์เซ็นต์การผ่านบอลให้เพื่อนมากขึ้น พร้อมการทำประตูเป็นกอบเป็นกำการมาของเขาส่งผลให้ทีมมีสไตล์การเล่นที่สนุกมากขึ้น ทำให้บางครั้งเราเห็น Ryan Giggs (ไรอัน กิกส์) ที่อายุขึ้นเลขสามแล้วโชว์ลีลาการไขว้ขาแข่งกับรุ่นน้องเพราะกลัวจะเสียฟอร์มฉายา “ปีกพ่อมด” อยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ซึ่งถ้าหากใครจำได้ถึงการมาของ Dimitar Berbatov (ดิมิทาร์ เบอบาตอฟ) กองหน้าสายอาร์ติสจากสเปอร์ที่ผลัดกันเล่นท่าไปกับโรนัลโดทำให้ทีมในเวลานั้นเป็นบอลที่เอนเตอร์เทนคนดูมากๆ ทำให้หลายคนคิดถึงเวลาที่สองคนนี้เล่นในสนามด้วยกัน พอมาถึงจุดอิ่มตัวตอนจบฤดูกาลในปี 2008 แน่นอนว่าเป้าหมายใหม่ของเขา คือการหาความท้าทายใหม่ ซึ่งก็หนีไม่พ้นทีมมหาเศรษฐีอย่าง Real Madrid (รีล มาดริด) ที่พร้อมจะอ้าแขนรับไปดูแลต่อด้วยเม็ดเงินที่สูงถึง 94 ล้านปอนด์ เขาสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นผู้เล่นที่ทำประตูได้ถึง 200 ลูกภายในระยะเวลา 178 แมตช์ ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมไม่ว่าจะในนามทีมสโมสรหรือทีมชาติตลอดมา
Bad Boy, Nice Guy
เรื่องเล่าที่เราชอบที่สุด (นอกเหนือไปจากเรื่องราวความผูกพันของเขากับเกาะบาหลีที่เราเอ่ยถึงไว้ในคอลัมน์ Taste of Sport หน้า 158 แล้วน่ะนะ) ของโรนัลโดเป็นเรื่องความผูกพันระหว่างเขากับเพื่อนสมัยเด็กที่ชื่อว่า Albert Fantrau (อัลเบิร์ต ฟันตรา) ที่เขาเล่าให้สื่อฟังว่า ทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่อยู่ในละแวกบ้านใกล้เรือนเคียง และเล่นฟุตบอลให้กับทีมท้องถิ่นเดียวกัน เมื่อทั้งคู่อายุได้เพียง 8 ขวบและลงเล่นในนัดสำคัญที่จะมีการคัดเลือกเด็กที่ยิงประตูได้มากที่สุดเข้าร่วมอะคาเดมีฟุตบอลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ฟันตราและโรนัลโดยิงไปได้แล้วคนละหนึ่งลูก ในช่วงท้ายเกมฟันตราหลุดเดี่ยวเข้าไปมีโอกาสทำประตูโล่งๆ แบบไม่มีใครขวาง เขาเลือกที่จะไม่ยิงประตู แต่ผ่านบอลไปเข้าเท้าโรนัลโดเป็นผู้ยิงแทน ทำให้โรนัลโดได้โควต้าในการเข้าอะคาเดมีไป ซึ่งครั้งนั้นเป็นโอกาสพลิกชีวิตของเขาที่ทำให้เขากลายเป็นโรนัลโดที่ทุกคนรู้จักในวันนี้ ซึ่งเหตุผลที่ฟันตราตัดสินใจแบบนั้นก็คือ เขาคิดว่าโรนัลโดมีความสามารถมากกว่า และสมควรได้รับโควต้านี้มากกว่าเขา เวลาผ่านไปมากกว่าสองทศวรรษแล้วหลังจากเหตุการณ์นั้น ฟันตราไม่ได้เล่นฟุตบอลอาชีพ และไม่มีงานทำจริงจัง แต่โรนัลโดก็ไม่เคยลืมบุญคุณเพื่อนคนนี้ เขาได้เป็นผู้ช่วยเหลือสนับสนุนด้านการเงินของเพื่อนเขาคนนี้มาโดยตลอด เรื่องเล่าโรแมนติกฟังดูเหมือนนิยายของเขานี้อาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่แหล่งข่าวหลายแหล่งต่างก็เห็นตรงกันว่า ความน่าเชื่อถือของมันสูงมาก เนื่องด้วยพฤติกรรมน่ารักของเขาที่ปรากฏต่อหน้าสื่อมาโดยตลอดทั้งเรื่องความช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากสึนามิจนกลายเป็นขวัญใจชาวบาหลีอาสาแบกรับค่ารักษาของหนูน้อยที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง และโรคความผิดปกติในสมอง พร้อมมอบรองเท้าสตั๊ดของเขาที่มีลายเซ็นเป็นกำลังใจให้หนูน้อยต่อสู้กับโรคร้ายไปได้ และเขาก็ยังนำรางวัลรองเท้าทองคำของเขา (GoldenBoot) ที่เขาได้รับมาเมื่อปี 2011 ออกมาประมูลได้เงินจำนวนกว่า 75 ล้านบาทเพื่อมอบให้กับกองทุนช่วยเหลือเด็กๆ และโรงเรียนในบริเวณฉนวน-กาซา ประเทศปาเลสไตน์อีกด้วย โอเค … จบย่อหน้าที่สองไปแล้ว เรื่องราวของเขาก็ยิ่งฟังดูนิยายหนักกว่าเดิมเสียอีก … แต่เราต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า โรนัลโดนั้นไม่ได้มาจากครอบครัวที่มั่งมี เขากำพร้าบิดาไปตั้งแต่อายุเพียง 20 ปีด้วย โรคพิษสุราเรื้อรัง ในขณะที่พี่ชายก็มีปัญหาเรื่องยาเสพติดและสุรา เมื่อเขามีโอกาสลืมตาอ้าปากในฐานะนักฟุตบอลผู้เป็นฮีโร่ของคนทั้งชาติ เขาจึงตั้งมั่นที่จะดูแลและช่วยเหลือผู้คนที่อยู่ในจุดเดียวกับเขาวัยเยาว์ให้มีโอกาสเหมือนเช่นที่เขาเคยมีโอกาสมาแล้วนั่นเองเรื่องราวความน่ารักของโรนัลโด้นั้นยังไม่หมด เกร็ดเล็กๆ น้อยๆอย่างเช่นเขาเอ่ยปากขอบคุณทีมกายภาพบำบัดของมาดริดที่ช่วยให้ร่างกายของเขาสมบูรณ์ ไม่มีอาการบาดเจ็บรุนแรงตลอดฤดูกาลจนกระทั่งได้รับรางวัล Fifa Ballon D’or 2008 ไปได้ในที่สุด แจกโบนัสมูลค่ากว่า 40 ล้านบาทให้กับสตาฟฟ์ หลังจากที่ทีมของเขาได้แชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกและเขายืนกรานที่จะไม่สักใดๆ ลงบนร่างกาย เพราะเขาต้องการที่จะบริจาคเลือดอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง ไม่ธรรมดาเลยทีเดียวสำหรับความเก่งกาจชีวิต ความคิด และทัศนคติสุดน่ารักของลอปติมัมกายคนนี้ เราเชื่อนะว่าด้วยการนำของเขา ทีมชาติโปรตุเกสจะไปได้ไกลกว่านี้อย่างแน่นอน
Photography by GettyImages