8 หนังที่ไม่ควรมีภาคต่อ

Share This Post

- Advertisement -

ภาพยนตร์หลายเรื่องโด่งดังเป็นพลุแตกเมื่อเปิดตัวด้วยความแปลกใหม่ในเนื้อหา เทคนิคการถ่ายทำ วิธีการเล่าเรื่อง หรือความว้าวอะไรบางอย่างในเนื้อเรื่องจนทำรายได้ถล่มทลาย มีแฟนๆ ติดตามเหนียวแน่น จนกระทั่งสตูดิโอผู้สร้างเห็นช่องทางทำมาหาเงินอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จึงเข็นภาคสองออกมาเพราะเห็นว่ามีกลุ่มแฟนพันธุ์แท้อยู่แล้ว ไม่ต้องทำการตลาดมาก และไม่ต้องเสี่ยงหากลุ่มแฟนๆ กลุ่มใหม่ แต่เป็นที่น่าแปลกใจ (แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก เอาเข้าจริง) ที่รายได้ของภาพยนตร์ภาคต่อหลายต่อหลายภาคเข้าขั้น “แป้ก” พ่วงด้วยเสียงก่นด่าสรรเสริญเยินยอของแฟนพันธุ์แท้ของภาพยนตร์นั้นๆ เรามาสำรวจกันดีกว่าภาพยนตร์เรื่องไหนควรที่จะหยุดการสร้างไว้ตั้งแต่ภาคแรก เพื่อยกให้กลายเป็นตำนานของวงการไปยาวๆ

1 Now You See Me (2013)

Now-You-See-Me-1-DI
เปิดตัวได้แบบว้าวสุดๆ กับภาพยนตร์มายากลสุดล้ำว่าด้วยการหักเหลี่ยมเฉือนคมกันระหว่างนักมายากลผู้ยิ่งใหญ่สองคน โดยมีการเปิดและปิดฉากภาพยนตร์ด้วยฉากกลสุดว้าวที่ทำให้คนดูต้องตื่นตะลึง ถือเป็นภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องมายากลที่ทำได้ดีอันดับต้นๆ ของภาพยนตร์แนวนี้ ดังนั้น เมื่อมันมีภาคสองอย่าง Now You See Me 2 (2016) กลฟินาเล่ของภาคสองจึงไม่สามารถสร้างปรากฏการณ์ “ว้าว” ให้กับคนดูได้เท่ากับภาคแรก และนี่ยังไม่รวมถึงเนื้อเรื่องหลักที่อาศัย “ความเป็นไปไม่ได้” เป็นเรื่องหลักโดยเน้นหนักยิ่งกว่าภาคแรก บอกได้คำเดียวว่า ความตื่นตะลึงที่คุณเคยสัมผัสจากภาคแรกนั้นจืดจางหายไปโดยสิ้นเชิง

2 Independence Day (1996)

Independence-Day-ไอดี-4-สงครามวันดับโลก
ถือเป็นภาพยนตร์เอเลี่ยนไซไฟยุคแรกๆ ของวงการ ซึ่งก็สร้างปรากฏการณ์เอเลี่ยนฟีเวอร์ไปทั่วโลก ณ เวลานั้น ทั้งฉากบุกโลกอันน่าตื่นตะลึง ภาพความประทับใจของฮีโร่ผู้เสียสละเพื่อปกป้องโลก เป็นภาพยนตร์ยุคแรกๆ ที่ทำให้เราคิดได้ว่า “ใครก็เป็นฮีโร่ได้” ถือว่าเป็นการทิ้งท้ายความประทับใจในวัยเด็กของใครหลายๆ คนได้ดี และเมื่อภาคใหม่ Independence Day: Resurgence (2016) นั้นเลือกที่จะดำเนินรอยตามสูตรเดิมเป๊ะๆ แบบยี่สิบปีผ่านไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พูดกันตรงๆ ว่าถ้าดูย้อนอดีต ระลึกถึงวัยเยาว์ แบบเห็นตัวละครภาคแรกเติบโตขึ้น แก่ลง และล้มหายตายจากไป ก็คงจะเป็นหนังที่ดูเพลินๆ สนุกดี แต่เราก็แอบเสียดายเบาๆ ว่า ถ้าปล่อยให้ความทรงจำมันถูกแช่แข็งอยู่แบบนั้นบางทีมันอาจจะดีกว่าก็ได้

3 Psycho (1960)

norman-smiling-in-the-last-scence

ภาพยนตร์สุดโรคจิตของผู้กำกับไอคอนแห่งวงการอย่างอัลเฟรด ฮิทช์คอกที่ส่งให้แอนโธนี เพอร์คินส์ดังเปรี้ยงปร้างจากบทนอร์แมน เบทส์กับภาพลักษณ์สุดโรคจิต พร้อมฉากชวนสยองตอนจบที่กลายเป็นภาพจำถาวรของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดไปแล้ว และเราเห็นตรงกันใช่ไหมว่า Psycho ภาคอื่นๆ ที่ตามมาหลังจากนั้น ไม่มีใครจดจำอะไรจากมันได้เลย แต่แฟรนช์ชายส์นี้อาจจะมาแก้ตัวได้นิดหนึ่งจากซีรีส์ชุด Bates Motel ที่ได้ดาราเจ้าบทบาทอย่างเฟรดดี้ ไฮมอร์มาสวมบทเป็นนอร์แมน เบตส์ตอนเด็กช่วงเวลาก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นพระเอกในภาพยนตร์ในตำนาน แต่ก็อย่างว่า … ปล่อยไว้เป็นตำนานอาจจะดีกว่าก็ได้นะ เราว่า

4 Jurassic Park (1993)

jurassic-park-1993.15098
ปฏิเสธไม่ได้เลยกับมาสเตอร์พีซระดับตำนานของพ่อมดแห่งวงการฮอลลีวูดที่ปลุกไดโนเสาร์ขึ้นมาเดินโลดแล่นบนจอภาพยนตร์พร้อมด้วยเนื้อเรื่องสุดบรรเจิดอย่างสวนสัตว์ไดโนเสาร์ ซึ่งจูราสสิค ปาร์คนั้นขึ้นหิ้งไปอย่างไม่ต้องสงสัยทั้งเรื่องเทคนิคการถ่ายทำ เทคนิคซีจี การดำเนินเรื่องที่ตื่นเต้นเร้าใจ โอเค … เรายอมรับว่าเนื้อเรื่องและวัตถุดิบมันน่าจะเอาออกมาสร้างภาคแล้วภาคเล่าก็จริงอยู่ แต่เราก็ยังแอบเสียดายทุกครั้งที่เห็นจูราสสิคแฟรนไชส์ยุคหลังๆ ที่ออกมากี่ภาคต่อกี่ภาคก็ไม่ยักจะสนุกและน่าตื่นเต้นได้เท่ากับภาคแรกเลย

5 Zoolander (2001)

zoolander
ภาพยนตร์สุดฮาแบบฉุดไม่อยู่เรื่องนี้คงทำให้หลายต่อหลายคนหัวเราะท้องคัดท้อแข็งกันมาแล้ว แต่เราเชื่ออย่างหนึ่งนะ คุณลองเปิดดูครั้งที่สองสิ คุณคิดว่ามันจะขำเท่ากับครั้งแรกไหม … มันก็เหตุผลเดียวกับความแป้กของ Zoolander 2 (2016) นั่นล่ะ มันคือมุกที่เราเคยขำ เมื่อมันมารีรันซ้ำ ไอ้ที่เคยขำ มันก็ฝืด มุกใหม่ๆ ก็ใช่ว่าจะมี ถือเป็นภาพยนตร์คอมเมอดี้ที่เราแอบเสียใจจริงๆ ที่มีภาคสอง

6 The Hangover (2009)

(L-r) ZACH GALIFIANAKIS as Alan holds Baby Tyler, BRADLEY COOPER as Phil and ED HELMS as Stu in Warner Bros. Pictures’ and Legendary Pictures’ comedy “The Hangover,” distributed by Warner Bros. Pictures. PHOTOGRAPHS TO BE USED SOLELY FOR ADVERTISING, PROMOTION, PUBLICITY OR REVIEWS OF THIS SPECIFIC MOTION PICTURE AND TO REMAIN THE PROPERTY OF THE STUDIO. NOT FOR SALE OR REDISTRIBUTION.

แกงค์เพื่อนซี้สุดป่วนทำเรารักได้ไม่ยากจากปาร์ตี้สุดโฉดในภาคแรกและความเละเทะหยำเปของพวกเขา พฤติกรรมแบบนี้ทำเราอินได้ง่ายๆ เพราะเชื่อเถอะว่า หนุ่มๆ ลอปติมัมก็ล้วนแล้วแต่เคยผ่านประสบการณ์สุดๆ แบบนี้กันมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็อย่างว่า … อะไรที่มันมากไปก็ใช่ว่าจะดี The Hangover Part II (2001) และ The Hangover Part III (2013) ก็ดำเนินรอยตามสูตรเดิมเป๊ะๆ เปลี่ยนแค่เวลาและสถานที่ … เหมือนกับกินเหล้าเดิมในขวดเดิมเสียด้วยซ้ำ ถ้าปล่อยให้ความเรื้อนของแกงค์เพื่อนซี้ไว้ให้เป็นตำนานต่อไป จะดีกว่าหรือเปล่า เราแอบสงสัย

7 The Blair Witch Project (1999)

the-blair-witch-project
ภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องแม่มดถ่ายทำด้วยกล้องมือถือด้วยมุมมองที่แหวกแนว ลงทุนต่ำเรื่องนี้ได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลายเพราะเทคนิคการถ่ายทำและการนำเสนอที่ถือว่าล้ำมากในขณะนั้น ถือเป็นภาพยนตร์สยองขวัญอินดี้ที่จับตลาดวงกว้างได้อย่างพลิกความคาดหมาย มันจึงเกิดปรากฏการณ์ Blair Witch หรือปรากฏการณ์กล้องส่ายกันทั่วบ้านทั่วเมือง และนั่นก็ทำให้ Book of Shadows: Blair Witch 2 (2000) ออกมาแป้กสนิท เพราะเหตุผลเหมือนที่กล่าวมา คือมุกเดิมๆ ที่ไม่สามารถสร้างความว้าวได้เท่ากับภาคแรกแล้วนั่นเอง และแว่วมาว่าตอนนี้กำลังจะมี The Blair Witch Project III ออกมาอีกด้วยนะ … พอเถอะ … เราแอบขอร้องดังๆ

8 Finding Nemo (2003)

finding-nemo-large-picture
ภาพยนตร์สุดน่ารักสำหรับเด็กน้อยเรื่องนี้หลุดเข้ามาติดโผเราด้วยก็เพราะว่า ภาคแรกนั้นให้ความอบอุ่นในใจได้อย่างครบถ้วน มันเป็นภาพยนตร์ที่น่ารัก น่าเอ็นดู และทำให้เราลุ้นไปกับชะตากรรมของเจ้านีโม่ตัวน้อยและครอบครัวได้จนจบเรื่อง และเมื่อ Finding Dory (2006) ออกมานั้น ก็เหมือนกับเรานั่งดูเทปม้วนเดิมที่ถูกกรอกลับเท่านั้นเอง … เปล่านะ … เราไม่ได้บอกว่าการตามหาดอรี่ไม่สนุก มันก็สนุก น่ารัก สดใสเหมือนเดิม แต่มันเหมือนเดิมไง … หาอะไรใหม่ๆ มาหลอกเงินในกระเป๋าเราเถอะ ขอร้องล่ะ

Content by Maya

- Advertisement -