อนาคตของการชมกีฬาจะเป็นอย่างไร เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การรับชมกีฬาติดขอบสนามไม่เหมือนเดิม

Share This Post

- Advertisement -

Game Changer

การชมเกมกีฬาแบบสดๆ 
ติดขอบสนามนั้นเป็นประสบการณ์
ที่แฟนๆ กีฬาปราถนาจะสัมผัสสักครั้งในชีวิต การรวมตัวกันของคนจำนวนมาก เปล่งเสียงเชียร์ สบถร่วมกับคนนับร้อย
นับพัน นั้นย่อมมันส์กว่ารับชมผ่านจอทีวีแน่ๆ ทว่าเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เกิดบ่อยครั้งขึ้นสร้างความสั่นสะเทือนต่อ
ทวีปยุโรปหลายด้านหลายส่วน และในที่สุดสนามกีฬาก็หนีแรงกระเพื่อมไปไม่พ้น โดยเฉพาะ
การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือ ยูโร 2016 ซึ่งจะจัดในฝรั่งเศสกลางปีนี้

eiffel-tower

ความกังวลเรื่องความปลอดภัยในยูโร 2016 เกิดขึ้นทันทีหลังเหตุโจมตีในปารีสเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2015 หลังเหตุการณ์นั้น
จึงมีการเตรียมออกมาตรการป้องกันความปลอดภัยขั้นสูงสุดใน
การแข่งขันยูโร 2016 และหวังว่าบรรยากาศจะคลี่คลายไปในทาง
ที่ดี 3-4 เดือนผ่านไป ดูเหมือนว่าความขมึงเครียดจะผ่อนลงบ้าง แต่แล้วปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก็เกิดเหตุก่อวินาศกรรมใน
กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมขึ้น เข้าอีหรอบนี้ก็เป็นอันว่า มหกรรมฟุตบอลยูโร 2016 คงไม่สามารถจัดกันแบบทั่วไปได้แน่ นอกจากมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นที่สูงยิ่งกว่าสูงสุดแล้ว
 ก็เริ่มมีการพูดถึงการแข่งในสนามปิด-ไม่ให้มีผู้ชม

แม้องค์กรโลกกีฬากบาลทั้งหลายจะพร่ำบอกอยู่เสมอว่า
สนามกีฬาต้องเป็นพื้นที่ปลอดการเมือง แต่เอาเข้าจริงแล้วปรากฏว่าสนามกีฬานี่แหละที่เป็นสนามต่อสู้ทางการเมืองมาตลอด หนังสือชื่อ The Soccer Tribe ของ Desmond Morris 
(เดสมอน มอร์ริส) เคยเสนอไว้ว่าการแข่งฟุตบอลเป็นกิจกรรม
ที่วางอยู่บนระบบสัญลักษณ์แบบเดียวกันกับการต่อสู้ในสนามรบ หากเป็นเช่นนั้น 11 ผู้เล่นในสนามก็คงเสมือนนักรบตัวแทน
ของแต่ละเผ่าฟุตบอลที่แบกเอาอุดมการณ์ทางการเมืองมา
ฟาดฟันกันบนผืนสนามหญ้า

top_france

การแข่งขันระหว่างทีมชาติอังกฤษกับอาร์เจนตินาถูกยก
ให้เป็นภาพแทนของสงครามฟอล์กแลนด์ การแข่งขันระหว่างเอลซัลวาดอร์กับฮอนดูรัสเคยเป็นชนวนเหตุที่เรียกว่า Football War เมื่อปีค.ศ. 1969 หรือแม้กระทั่งที่สนาม Stade de France เองก็เคยเกิดเหตุแฟนบอลของทีมอดีตเมืองขึ้นอย่างแอลจีเรีย
บุกเข้ามาในสนามจนต้องยกเลิกการแข่งขันกลางคันมาแล้ว
เมื่อปีค.ศ. 2001 ไม่ใช่แค่ฟุตบอล มหกรรมกีฬาอย่างโอลิมปิกเองก็เป็น
สนามแห่งการต่อสู้ทางการเมืองที่ดุเดือดไม่แพ้การแข่งขันของนักกีฬา ถ้าใครรู้จักประวัติโอลิมปิกเสียหน่อยก็คงเคยได้ยิน
มาว่ามันมีขึ้นมาเพื่อสานความสัมพันธ์อันดีระหว่างมนุษยชาติ 
แม้ความตั้งใจจะสวยหรูแต่เอาเข้าจริงแล้วมันกลับเป็นไป
ในทางตรงกันข้าม

ตลอดประวัติศาสตร์โอลิมปิกแทบจะไม่เคยว่างเว้นจาก
การต่อสู้ทางการเมือง โอลิมปิกเกือบทุกครั้งต้องมีเหตุการณ์แฝง
นัยยะทางการเมืองเกิดขึ้นเสมอ ที่จะไม่กล่าวถึงมิได้คือสงคราม
การบอยคอตระหว่างสหรัฐอเมริกากับโซเวียตในช่วงสงครามเย็น ในช่วงทศวรรษ 80s ที่กำลังตึงเครียด และก็ประจวบเหมาะ
เอาเสียเหลือเกินเมื่อโอกาสในการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกตกอยู่
ในมือของชาติมหาอำนาจทั้งสอง โซเวียตได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก
ปี 1980 การได้จัดโอลิมปิกหมายถึงโอกาสที่จะแสดงความยิ่งใหญ่ของประเทศคอมมิวนิสต์ แต่ในทางกลับกันมันก็เป็นโอกาสที่
ฝ่ายตรงข้ามจะได้แสดงถึงการปฏิเสธมันด้วยเช่นกัน สหรัฐอเมริกานำพันธมิตรรวม 65 ประเทศบอยคอตไม่เข้าร่วมการแข่งขัน
(ไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น) นอกจากเสียหน้าทางการเมืองแล้ว
โซเวียตต้องกระอักเพราะขาดรายได้จากนักท่องเที่ยวและค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดโทรทัศน์

rio_2016_logo

ราวกับชะตากรรมเล่นตลก เมื่อโอลิมปิกครั้งต่อมามีเจ้าภาพชื่อสหรัฐอเมริกา คงไม่ต้องอธิบายต่อว่าโซเวียตปล่อยหมัดสวน
แบบไหน สนามกีฬาไม่เคยปลอดความขัดแย้งของอุดมการณ์ทาง
การเมืองเลย แม้กระทั่งโอลิมปิกที่ประกาศตัวว่าจะสร้างความเป็น
หนึ่งเดียวให้แก่มนุษยชาติ และน่าจับตามองว่า ยูโร 2016 
ที่ประเทศฝรั่งเศส โลกกีฬา นั้นมาตรการการจัดการกับการรักษาความปลอดภัยจะเข้มงวดเพียงใด

- Advertisement -