Swedish Experiences
วอลโว่ประเทศไทย พาลอปติมัมเหินฟ้าไปเยี่ยมชมยนตรกรรมใหม่ล่าสุด XC90 ที่เมืองโกเทนเบิร์ก ประเทศสวีเดน ชม Experience Center ศูนย์สร้างประสบการณ์ และพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของวอลโว่ ปิดท้ายด้วยการสัมผัสรถยนต์ XC90 ตัวใหม่ล่าสุด
เมื่อกล่าวถึงประเทศสวีเดน สิ่งแรกๆ ที่คนทั่วไปรับรู้คือ สวีเดนเป็นประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก แม้จะเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่อันดับ 3 ของสหภาพยุโรป แต่มีประชากรเพียง 9.8 ล้านคน (พอๆ กับกรุงเทพฯ รวมธนบุรี) ทว่ามีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นของโลก พูดง่ายๆ ว่าเป็นประเทศ ที่ร่ำรวยมากที่สุดประเทศหนึ่ง
ถ้าถามว่าแบรนด์จากสวีเดนที่คนทั่วโลกรู้จัก สิ่งที่แล่นเข้ามาในหัวอย่างแรกก็คือ Volvo (วอลโว่) แบรนด์รถยนต์เก่าแก่ที่สร้างชื่อให้กับประเทศนี้ วอลโว่เป็นแบรนด์ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ตั้งแต่คนรุ่นปู่คุณพ่อ ขึ้นชื่อว่าเป็นยานยนต์ที่มีความปลอดภัย ขับขี่แล้วอุ่นใจ และเป็นสิ่งที่วอลโว่แข้มแข็งตลอดมานอกจากนี้ก็มี Ericson บริษัทเทคโนโลยีและการสื่อสาร IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของโลก H&M แบรนด์แฟชั่นผู้ครองตลาดเสื้อผ้า Fast Fashion และเมื่อพูดถึงรถยนต์ ลอปติมัมได้รับเชิญจาก วอลโว่ ประเทศไทย ให้เดินทางไปยังเมืองโกเทนเบิร์ก ประเทศสวีเดน เพื่อเยี่ยมชม Volvo Experience Center (ศูนย์สร้างประสบการณ์ของวอลโว่) พิพิธภัณฑ์วอลโว่ และสัมผัสรถยนต์รุ่นล่าสุด XC90 โมเดลใหม่ก่อนใคร
คณะจากประเทศไทย เดินทางถึงเมืองโกเทนเบิร์ก ในช่วงเวลาที่อากาศดีที่สุดของปี ปลายฤดูร้อนค่อนฤดูใบไม้ร่วง ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป บรรยากาศบ้านเมืองและผู้คนนั้นสมกับเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก แสงแดดเชื้อเชิญให้คนออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้งจำนวนมาก ทั้งนั่งเล่นกลางสวน ปิกนิค นอนอาบแดด หรือพายเรือคายัคในคลองกลางเมือง
โกเทนเบิร์กเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของสวีเดนรองจากกรุงสต็อกโฮล์ม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ เป็นทั้งเมืองอุตสาหกรรมและเมืองการศึกษา มีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่หลายแห่ง เราจึงเห็นหนุ่มสาวหน้าใสเดินขวักไขว่กันเต็มเมือง การนำ ‘ความรู้’ และ ‘ภาคการผลิต’ มาอยู่ใกล้กัน ทำให้โกเทนเบิร์กเป็นเมืองที่ไฮเทคที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา คล้ายคลึงกับซิลิคอนวัลเลย์ ตัวอย่างเช่นโกเทนเบิร์กจะเป็นเมืองต้นแบบของสวีเดนที่ทดลองใช้รถยนต์ขับขี่โดยไม่มีผู้ขับ (Driverless car) ภายใต้โครงการ Drive Me ซึ่งพัฒนาโดยค่ายรถยนต์วอลโว่ ซึ่งกำลังเตรียมการในผลิตรถ 100 คัน ให้ผู้ใช้รถที่เมืองโกเทนเบิร์ก สวีเดน เป็นผู้ทดสอบภายในปี พ.ศ. 2560 การทดสอบในครั้งนี้ เป็นการประสานความร่วมมือกับภาครัฐหลายหน่วยงาน ทั้งฝ่ายผู้ออกกฏหมายจราจร กรมการขนส่งทางบก และสำนักว่าการนครโกเทนเบิร์ก เพื่อนำไปสู่การเดินทางที่ยั่งยืนและปราศจากอุบัติเหตุในอนาคต
แม้รถจะไม่มีคนขับแต่ก็มั่นใจได้เลยว่าปลอดภัย เพราะวอลโว่ ได้ออกแบบระบบรถขับเองได้ที่มีประสิทธิภาพสูง เทคโนโลยีที่วิเคราะห์ความน่าจะเป็นของข้อผิดพลาดในสถานการณ์ต่างๆ อย่างรอบด้าน โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงของระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว การตั้งพิกัดด้วยระบบคลาวด์ ผสานกับระบบเบรกอันชาญฉลาด และเทคโนโลยีชั้นสูงในการบังคับทิศทางรถยนต์
Brand Experience Center
สถานที่แรกที่วอลโว่พาเราไปคือ Volvo Brand Experience Center หรือ ‘ศูนย์สร้างประสบการณ์ของแบรนด์วอลโว่’ ตั้งอยู่ภายในคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ของวอลโว่ ที่มีทั้งโรงงาน ออฟฟิศ ศูนย์ประชุม และพิพิธภัณฑ์อยู่ในที่เดียวกัน อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองโกเธนเบิร์ก Volvo Experience Center เป็นเหมือนศูนย์จัดแสดงขนาดย่อมที่เผยถึงเรื่องราวเบื้องหลังการสร้างประสบการณ์การขับขี่รถยนต์วอลโว่ ทั้งเรื่องของการดีไซน์ การออกแบบความปลอดภัย เทคโนโลยี ไปจนถึงเรื่องความใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่แบรนด์ให้ความสำคัญ ซึ่งผู้บริหารจากวอลโว่ สวีเดน มาต้อนรับคณะผู้เยี่ยมชมจากประเทศไทยด้วยความอบอุ่น จากนั้นก็พาเราเข้าสู่ส่วนจัดแสดง เริ่มต้นด้วยวิดีโอสั้นๆ ก่อนจะเดินชมพื้นที่จัดแสดงที่อยู่ด้านล่าง ที่แบ่งได้คร่าวๆ 2 ส่วน
ส่วนแรกคือ การดีไซน์รถยนต์ต้นแบบของวอลโว่ เราได้ทราบถึง ที่มาที่ไปของเส้นสายต่างๆ ตั้งแต่สเก็ตช์ไปจนถึงโมเดลจำลอง รถยนต์ไฮบริดของวอลโว่ที่จอดโชว์อยู่นั้น คืองานที่เริ่มดีไซน์ใหม่ทั้งหมดจด ต่างจากหลายแบรนด์ที่นำรถไฮบริดของแบรนด์มาโมดิฟาย ทำให้วอลโว่สามารถออกแบบโครงสร้างของตัวรถทุกส่วนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตามแนวทางที่วอลโว่ต้องการ ตัวอย่างเช่นการวางตำแหน่งของแบตเตอรี่ไว้ตรงกลางตัวรถ เพื่อป้องกันความเสียหายให้มากที่สุดหากเกิดอุบัติเหตุ
สำหรับส่วนที่สอง จัดแสดงเบื้องหลังการออกแบบเพื่อความปลอดภัย เทคโนโลยีต่างๆ ภายในรถยนต์ ถึงแม้ว่าเราจะทราบดีว่ารถยนต์วอลโว่นั้นขึ้นชื่อว่าปลอดภัยที่สุด และเราก็คาดไว้อยู่แล้วว่านิทรรศการต้องตอกย้ำจุดขายเรื่องนี้ แต่พอได้รับรู้เรื่องราวผ่านการบอกเล่าในทุกรายละเอียดผ่านประสบการณ์จริงก็ยังทำให้เรานั้นอึ้งได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เริ่มตั้งแต่โครงสร้างของรถออกแบบจากการศึกษาการเกิดอุบัติเหตุทุกรูปแบบ โดย Traffic Accident Research เป็นหน่วยงานพิเศษที่ทางวอลโว่ตั้งขึ้นมาเพื่อเก็บข้อมูลจากอุบัติเหตุจริงบนท้องถนน ร่วมกับตำรวจทางหลวงทั่วโลก (ประเทศไทยก็มีเช่นเดียวกัน) และนำรายละเอียดและรูปแบบของการชนหลากหลายแบบและนำข้อมูลมาออกแบบรถยนต์ ตัวอย่างเช่นหลายคนคิดว่าการชนที่อันตรายที่สุดคือการชนประสานงาจากด้านหน้าจังๆ แต่ความจริงการชนที่อันตรายที่สุด ทำให้คนเสียชีวิตมากที่สุดคือการชนแบบแฉลบ ดังนั้นวอลโว่จึงออกแบบให้โครงสร้างภายในของรถยนต์ป้องกันการชนลักษณะนี้ด้วย
‘เข็มขัดนิรภัย’ สิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยรักษาชีวิตคนไว้ได้มากที่สุด อุปกรณ์ที่เราใช้ในรถยนต์ทุกวันนี้ พัฒนาโดย Nils Bohlin สำหรับรถยนต์วอลโว่ ซึ่งก็เป็นเจ้าแรกที่กำหนดให้เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด เป็นอุปกรณ์พื้นฐานในรถยนต์ทุกรุ่น จนกระทั่งแบรนด์อื่นๆ ติดตั้งในรถยนต์ของตัวเองต่อมา ด้วยเพราะเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด สามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้มหาศาล แม้ว่าวอลโว่จะจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ แต่ก็อนุญาตให้ผู้ผลิตเจ้าอื่นๆ นำไปใช้ได้ฟรีๆ ซึ่งมันก็ได้ช่วยรักษาชีวิตคนหลายล้านคนทั่วโลก ด้วยเพราะหัวใจของการออกแบบและสร้างสรรค์รถยนต์ของวอลโว่นั้นคือความปลอดภัยสูงสุดของผู้ขับขี่
นอกจากนี้เรายังได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่วอลโว่นำมาใช้ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เช่น ‘IntelliSafe’ ที่ประกอบไปด้วยนวัตกรรมอันชาญฉลาดหลายฟังก์ชั่น อย่าง Park Assist ระบบช่วยจอดขนานขอบทางอัตโนมัติ City Safety ซึ่งช่วยป้องกันการชนขณะขับความเร็วต่ำสำหรับทั้งรถยนต์ จักรยาน และคนเดินถนน Adaptive Cruise Control with Queue Assist ช่วยประมาณการทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างปลอดภัย และในการจราจรที่เคลื่อนตัวช้ามีฟังก์ชั่นหยุดรถและออกตัวอัตโนมัติ ด้วยความเร็วที่พอดีกับรถคันหน้า จึงขับสบายแม้ในยามรถติด Collision Warning ระบบเตือนป้องกันการชนและช่วยเบรกอัตโนมัติสำหรับคนเดินถนน รถจักรยาน หรือแม้แต่รถคันอื่นที่กำลังเข้ามาในทางของวอลโว่ และ Lane Keeping Aid ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเริ่มวิ่งออกนอกเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ
“เพราะรถถูกขับเคลื่อนโดยคน เบื้องหลังทุกสิ่งที่วอลโว่ทำ ทั้งที่ผ่านมาในอดีตและในอนาคต คือ หลักการความปลอดภัย” มร. อัสซาร์ กาเบรียลสัน และ มร. กุสตาฟ ลาร์สัน ผู้ก่อตั้งวอลโว่กล่าวไว้เมื่อ 88 ปีก่อน ซึ่งทุกวันนี้วอลโว่ก็ยังคงแนวคิดนี้ไว้อย่างเข้มแข็ง ปี 2010 อัตราผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยรถยนต์วอลโว่อยู่ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นปณิธานของวอลโว่ที่มีเป้าหมายให้ลดลงเหลือแค่เพียง 2 เปอร์เซ็นต์ และวอลโว่ตั้งเป้าว่าภายในปี 2020 จะไม่มีจากผู้ที่อยู่บนรถยนต์วอลโว่เลย!
ไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัยสำหรับคนบนท้องถนน แต่วอลโว่ยังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อความปลอดภัยกับสิ่งแวดล้อม นั่นก็คือ เครื่องยนต์ Drive-E สถาปัตยกรรมเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนชิ้นใหม่ ที่ทำให้ทำให้สมรรถนะไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนลูกสูบและขนาดความจุของเครื่องยนต์อีกต่อไป เครื่องยนต์เบนซินและดีเซลใหม่ล่าสุดโดยใช้บล็อกเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ ความจุ 2,000 ซีซี ที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบากว่าเดิมถึง 30-50 กิโลกรัม แต่ได้สมรรถนะเทียบเท่าเครื่องยนต์ที่มีจำนวนลูกสูบมากกว่า ในขณะที่ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า 10-30% เจ้าเครื่องยนต์ Drive-E นี้วอลโว่สวีเดน เริ่มต้นพัฒนามาตั้งแต่ ปี 2008 วอลโว่ สวีเดน ใช้เงินลงทุนวิจัยพัฒนาเกือบหนึ่งหมื่นล้านบาท คาดว่าจะนำไปติดตั้งกับรถยนต์วอลโว่ให้ครบทุกรุ่นในปี 2015
หลังจากจบการเดินทางภายใน Volvo Brand Experience Center และแล้วก็ถึงเวลาของไฮไลต์ของทริปนี้…การสัมผัสรถยนต์ รุ่นใหม่ล่าสุด Volvo XC90 ครอสโอเวอร์รุ่นล่าสุดที่กำลังจะมาเขย่า ตลาด SUV ด้วยเครื่องยนต์ และเทคโนโลยี และดีไซน์ที่ดุดัน ทว่าเปี่ยมไปด้วยความหรูหรา
ความดุดันที่ว่าเริ่มตั้งแต่รูปทรงของบอดี้รถที่โฉบเฉี่ยว ไฟหน้า LED รูปทรงจากค้อนของทอร์ (Thor) ไปจนถึงกระจังหน้าสี่เหลี่ยมอันใหญ่และช่องรับลมที่ดีไซน์ได้มาจากรถยนต์วอลโว่ในรุ่นก่อนๆ นับเป็นการคารวะงานดีไซน์คลาสสิกของแบรนด์ได้อย่างน่าสนใจ
ห้องโดยสารภายในโอ่โถง เบาะหนังอย่างดีตัดเย็บด้วยมือนั่งสบายสุดๆ ส่วนเบาะนั่งหลังรองรับผู้โดยสารความสูง 170 เซนติเมตร อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่มีให้ต้องเรียกได้ว่าจัดเต็ม ระบบอินโฟเทนเมนต์ หน้าจอระบบสัมผัสติดตั้งอยู่หน้าคอนโซล เป็นทั้งจอแสดงผลระบบ GPS สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและเป็นเครื่องเสียงในตัว เชื่อมต่อกับลำโพง Bower & Wilkins มากถึง 19 ตำแหน่ง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยก 4 โซน นอกจากนี้ยังมีดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้น อย่างเซ็นเซอร์เปิดกระโปรงหลังรถเพียงแค่ยกเท้าให้ตรงจุด ก็สามารถเปิดหลังรถได้โดยไม่ต้องใช้มือ ลองนึกถึงช่วงเวลาที่หอบของพะรุงพะรังออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตดูสิว่าฟังก์ชั่นนี้เวิร์กแค่ไหน
วอลโว่เตรียมวางแผนจำหน่าย XC90 ราวปลายปี 2015 เปิดตลาดด้วยรุ่นพิเศษ First Edition ที่ผลิตแค่ 1,927 คัน ซึ่งเป็นหมายเลขเดียวกันกับปีก่อตั้งวอลโว่ สนนราคาอยู่ราว 65,900 เหรียญสหรัฐ ประมาณ 2.1 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษีในเมืองไทย)
หลังจากที่ได้สัมผัสรถยนต์โมเดลเรือธงของวอลโว่แล้ว เราก็ไปเปิดประสบการณ์ต่อที่พิพิธภัณฑ์วอลโว่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน สถานที่แห่งนี้จัดแสดงเรื่องราวของวอลโว่ บริษัทรถที่เป็นความภูมิใจของคนสวีเดนตั้งแต่ยุคบุกเบิกจนมาถึงปัจจุบัน จุดเริ่มต้นของวอลโว่ที่เริ่มต้นมาจากโรงงานผลิตลูกปืน ก่อนจะที่มาผลิตรถยนต์โดย มร. อัสซาร์ กาเบรียลสัน และ มร. กุสตาฟ ลาร์สัน สองผู้ก่อตั้ง ภายในพิพิธภัณฑ์จำลองห้องทำงานของสองผู้ก่อตั้งเอาไว้ให้ชมกัน นอกจากนี้ยังมีคอลเล็กชั่นรถยนต์วินเทจที่หาชมยาก รถยนต์ต้นแบบทั้งที่ได้นำมาสร้างจริง และบางรุ่นที่เป็นแค่โมเดล ตลอดจนการพัฒนารถยนต์-เครื่องยนต์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั้งแทรกเตอร์ รถดับเพลิงไปจนถึงเครื่องบิน
การเยี่ยมชม Volvo Brand Experience Center และพิพิธภัณฑ์ครั้งนี้ กินเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง คุ้มค่ากับการเดินทางมาชมอย่างมาก สิ่งที่เราได้รู้ได้เห็นไม่ใช่แค่เพียงเรื่องราวของวอลโว่เท่านั้น แต่มันคือประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของประเทศสวีเดนเลยทีเดียว ได้รู้จักคาแรกเตอร์ของคนสวีเดนที่มีความเป็นนักสร้างสรรค์อยู่ในจิตวิญญาณ ซึ่งแสดงออกผ่านสิ่งประดิษฐ์และผลิตภัณฑ์ต่างๆ เมื่อผสานกับปรัชญาในการออกแบบที่มองปราดเดียวก็รู้ว่า ‘สวีดิชดีไซน์’ ทำให้โปรดักท์จากสวีเดนนั้นมีความแตกต่าง สัมผัสได้ด้วยตาและประสบการณ์
Content by Suriya G.