ความฝันเฟื่องและจินตนาการของเด็กชายชาวเยอรมันคนหนึ่ง ผู้อยากเห็นเครื่องบินเก่าตามพิพิธภัณฑ์เหินฟ้าอย่างผงาดได้อีกครั้ง

Share This Post

- Advertisement -

THE SKY IS THE LIMIT

Reichert in front of a Junkers F 13 in Dubendorf

ความฝันเฟื่องและจินตนาการของเด็กชายชาวเยอรมันคนหนึ่ง ผู้อยากเห็นเครื่องบินเก่าตามพิพิธภัณฑ์เหินฟ้าอย่างผงาดได้อีกครั้ง และฝันที่กลายเป็นจริงนี้เป็นของ Dieter Morszeck ประธานและซีอีโอ ทั้งยังเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ผู้สืบทอดวิสัยทัศน์และจิตวิญญาณของแบรนด์ริโมว่า กระเป๋าเดินทางผลิตจากอะลูมีเนียมพิเศษที่ห่อหุ้มเครื่องบินเล็ก ซึ่งเหล่าผู้มีรสนิยมและคนดังนิยมชมชอบและใช้กันมาเกือบแปดสิบปี

 RIMOWA_F13_Details_04-A

The Return of the Junkers F13

เครื่อง F13 เป็นเครื่องบินเล็ก 
ปีกแคนทีลีเวอร์แบบวางต่ำ ได้รับการออกแบบให้มีลำตัวประกอบกับตอนกลางของปีก โดยมีโครงเป็น
ท่อยาวต่อเนื่อง มุงด้วยแผ่นโลหะ
รีดลอน กรอบปีกนั้นขึ้นรูปจากโครงที่มีลักษณะเป็นท่อยาว และยึดติดด้วยหมุดย้ำเป็นรูปตัว ‘Z’ ก่อนจะใช้แผ่นโลหะรีดลอนมุง สำหรับห้อง 
นักบินหรือค็อกพิตนั้น ไม่มีกระจกหน้า เป็นแบบเปิด มีเพียงฉากกันลมขนาดเล็กด้านหน้าเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้
เพราะในสมัยก่อนนั้นยังไม่มีอุปกรณ์ช่วยนำการบิน นักบินต้องควบคุมการบินเองโดยอาศัยทัศนวิสัย
ที่เห็นตามจริง

IMG_6290

เดินทางอย่างสุดหล่อ นอกจากกระเป๋าเดินทางริโมว่าสุดเท่แล้ว หนุ่มลอปติมัมสามารถเป็นเจ้าของเครื่องบิน F13 ได้ สอบถามข้อมูลและรีบจองด่วนได้ที่ www.rimowa-in-the-air.de, F13@rimowa.de

RIMOWA_F13_Details_11

ค็อกพิตนักบินภายในเครื่องบิน F13 ที่กำลังพอเหมาะสำหรับ

RIMOWA_F13_Details_12

การบังคับเครื่องบิน มาพร้อมมาตรวัดบอกความเร็วบนน่านฟ้า เครื่องวัดระดับความสูง เข็มทิศ และหน้าต่างสำหรับมองทิศทางการบิน ซึ่ง Rimowa F13 ใช้แนวคิดในการออกแบบเครื่องบินของ ปี 1920 นี้มาเช่นกัน

IMG_0975

เมื่อนักข่าวทั่วโลกจำนวน 100 คน ได้รับเชิญให้มาร่วมเป็นสักขีพยานในงานเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ในงาน EAA AirVenture Oshkosh 2015 (ออสคอช 2015) สำหรับผู้ที่หลงใหลในการบินทุกชนิด งานนี้คืองานสำคัญที่เขาเหล่านี้ต่างเฝ้ารอคอย เมื่อเครื่องบินเหมาลำนำนักข่าวทั่วโลกจากเมืองชิคาโกมาลงที่ Wittman Regional Airport ที่รัฐวิสคอนซิน เมืองออสคอช สนามบินที่วุ่นวายที่สุดโลก ในขณะที่เครื่องบินของเราค่อยๆ บินต่ำลงสิ่งที่แรกเห็นนั้นก็คือลานบินที่เต็มไปด้วยเครื่องบินลำเล็กเป็นหมื่นลำจอดอยู่เรียงราย และเมื่อเครื่องของเราแตะพื้นแล่นไปตามลานบิน เราได้เห็นเครื่องบินนับหมื่นเรียงรายอย่างใกล้ชิด พร้อมกับเต็นท์ที่นอนของเจ้าของกางอยู่ข้างๆ เครื่องบินแต่ละลำ กว่าสิบนาทีที่เราได้ชื่นชมกับ    เครื่องบินเล็กหลากรุ่น ในขณะเดียวกันก็มีหลายลำที่ขึ้นและลงลานจอดทุกๆ 5 นาที นับเป็นภาพที่น่าจดจำและชวนให้นักข่าวต่างชาติอย่างเราตะลึงพรึงเพริดไปเลย นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น ความน่าตื่นเต้นกำลังค่อยๆเริ่มขึ้น เมื่อพวกเราลงจากเครื่องก็ได้รับเชิญให้ไปรับประทานอาหารกลางวัน
ที่จัดไว้เป็นพิเศษสำหรับแขกวีไอพี ในขณะที่เดินผ่านเครื่องบินเล็กนับหมื่น และผู้ที่ชื่นชอบเครื่องบินทั่วโลก และชาวอเมริกันเจ้าของประเทศที่เดินกันอย่างขวักไขว่ประมาณได้ว่าการจัดครั้งหนึ่งมีผู้มาเยี่ยมชมประมาณ 500,000 คน ตลอดทางจะได้ยินเสียงเชิญชวนให้ไปเล่นเกมชิงรางวัล
เป็นเครื่องบินลำเล็กบ้าง เป็นรถยนต์วินเทจรุ่นหายากบ้าง ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นระคนความเร้าใจเหมือนอยู่ในภาพยนตร์ฮอลลีวูดก็ไม่ปาน ผู้คนและเครื่องบินจำนวนมากมายมารวมตัวกันอยู่กลางทุ่งกว้างที่ออสคอช
ทุกๆปี ในเดือนกรกฎาคม เพื่อนำเสนอเครื่องบินและเทคโนโลยีใหม่ ที่สร้างกันขึ้นมา และรอดูการแสดงการบินผาดโผนจากนักบินมือฉมัง นี่คืออเมริกันดรีมที่เขากล่าวขวัญกันถึงแน่นอน ความฝันเฟื่องที่ไร้ขอบเขต 
ที่คุณอยากเป็นใครก็ได้ เพียงแต่คุณต้องพยายามทำฝันของคุณให้เป็นจริง ทั้งการบรรยายการบินผาดโผนนั้นแสดงถึงจิตวิญญาณและความหลงใหลในการบิน การเล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของนักบินที่พ่อและแม่ขับรถทางไกลทุกสัปดาห์เพื่อมาส่งลูกชายตัวน้อยหัดขับเครื่องบินตั้งแต่อายุสิบสอง แม้จะประสบอุบัติเหตุเดินไม่ได้อยู่สองปี ในที่สุดก็กลับมาบินผงาดได้อีกครั้ง จนได้เป็นนักบินอวกาศขององค์การนาซ่าในที่สุด และที่เรากำลังชื่นชมการบินอยู่นั้น เราแทบจะไม่เชื่อสายตาตนเอง นั่นก็คือการบินแบบควงสว่านลงมาจากท้องฟ้าเป็นแนวดิ่งอย่างน่าหวาดเสียว เป็นการโชว์ครั้งแล้วครั้งเล่าของการบินผาดโผน การบินของฝูงบินอย่างพร้อมเพรียง ด้วยระยะห่างและเวลาที่เที่ยงตรงเป๊ะๆ สุดที่จะบรรยาย  ทั้งยังได้เห็นเครื่องบินลำมหึมาของแอร์บัส เอ 350 อย่างเต็มตาโฉบเหนือศีรษะของพวกเราอีกด้วย เข้าเรื่องสำคัญของเราดีกว่า มารู้จักประวัติของเครื่อง F13 กันหน่อย

 RIMOWA_F13_History_MHMLW_01

กำเนิดของเครื่องบินเล็กหกที่นั่ง The Junkers F13 สร้างจากโลหะทั้งลำเพื่อการพาณิชย์ ในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1919 เครื่องบินโดยสารหกที่นั่งได้
เริ่มบินเป็นครั้งแรก เป็นเครื่องบินที่มาปฏิวัติวงการการโดยแท้และ เป็นพื้นฐานและแรงบันดาลใจให้กับการสร้างเครื่องบินโดยสารสมัยใหม่ที่ชื่อ The Junkers F13 เมื่อสิ้นสุดสงครามโลก ผู้ประกอบการและวิศวกรชาวเยอรมัน ฮูโก้ ยุงเกอร์ส ตระหนักดีว่าการสร้างเครื่องบินต่อจากนี้ต้องเป็นไป ในเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่เพื่อสงครามอีกต่อไป อย่างไรก็ดีเครื่องบินเชิงพาณิชย์ที่เขาคิดจะสร้างขึ้น จะประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจได้นั้น เขารู้ดีว่าเครื่องบินดังกล่าวจะต้องได้รับการออกแบบอย่างดี ให้สิ้นเปลืองน้ำมันน้อยที่สุด ไม่ต้องซ่อมบ่อย มีความทนทาน ปลอดภัย และนั่งสบาย การทำเครื่องบินจากโลหะได้รับการพิจารณาว่าเหมาะสำหรับใช้ในการพาณิชย์ มากกว่าการสร้างเครื่องบินจากไม้และผ้าใบในอดีต โดยเฉพาะ
ความแข็งแรงทนทานของโลหะที่มีมากกว่าวัสดุอย่างไม้หรือผ้าใบ และเครื่องบินโลหะยังสามารถออกบินได้ทุกเวลา ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นเช่นไร เพราะเครื่องบินที่ทำจากโลหะนี้จะไม่ดูดซับความชื้นเมื่อฝนตก นอกจากนี้มันยังไม่จำเป็นต้องมีโรงเก็บเครื่องบิน แต่สามารถจอดทิ้งไว้กลางแจ้งได้เลยจากความคิดเช่นนี้ ฮูโก้ ยุงเกอร์สจึงบอกให้ออตโต รอยเตอร์ ดีไซเนอร์มือหนึ่งของเขาพัฒนาเครื่องบินโดยสารเชิงพาณิชย์ขึ้นมาโดยสร้างจากโลหะทั้งลำ ไม่นานหลังจากนั้น รอยเตอร์ก็นำเสนอเครื่องบินโดยสาร 6 ที่นั่ง มานำเสนอแก่เขา โครงสร้างประกอบด้วยไปด้วยไม้ค้ำและหมุดโลหะที่สร้างจากอะลูมีเนียมอัลลอยด์แบบพิเศษที่เรียกว่า ดูราลูมิน (Duralumin) เป็นวัสดุที่คิดค้นโดย อัลเฟรด วิล์ม ในปี 1906 ดูราลูมินนี้ต่างจากอะลูมิเนียมบริสุทธิ์ตรงที่มันแข็งแรงทนทานกว่า ดังนั้นเครื่องบิน The Junkers 13 จึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะเครื่องบินเชิงพาณิชย์ของโลกที่สร้างจากโลหะทั้งลำ โดยบริษัท Junkers หรือในชื่อเต็มที่เรียกว่า Junkers Flugzeugwerk

Junkers W 33 at the airfield in Addis Ababa

ความสำเร็จระดับโลกเครื่องบินรุ่น Junkers F13 หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า F13 นั้นถูกใช้ในประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลกที่ดำเนินการบินเชิงพาณิชย์ และยังช่วยบริษัทผลิตเครื่องบินที่ชื่อ Junkers ให้ได้รับความเชื่อถือระดับโลก ในปีค.ศ. 1925 เครื่องบิน F13 แชร์ส่วนแบ่งถึง 40 เปอร์เซ็นต์ในการจราจรชนิดมีตารางเวลาบนน่านฟ้าโลก ในปีค.ศ. 1932 เครื่องบิน
จำนวน 330 ลำที่ออกแบบในรูปลักษณ์ดังกล่าวได้ถูกสร้างขึ้น และในจำนวนนี้เครื่องบิน 110 ลำได้รับการขึ้นทะเบียนในเยอรมนี ส่วนอีก 220 ลำที่เหลือได้ถูกนำไปบินในทวีปอเมริกาเหนือ กลางและใต้ ทวีปอัฟริกา โซนยุโรปตะวันออก จีน ญี่ปุ่น หมู่เกาะอินโดนีเซีย  และทวีปออสเตรเลีย เครื่องบินรุ่น Junkers F13 นั้นได้มาเติมเต็มความต้องการ ในด้านการบินเชิงพาณิชย์ ความยอมรับในด้านการเป็นเครื่องบิน เชิงพาณิชย์ระดับโลก และพัฒนาขึ้นเป็นเครื่องบินแขนงใหม่ของวิธีการเดินทางท่องเที่ยว อะลูมีเนียมพิเศษที่ใช้ทำเครื่องบิน ความเบา ความแข็งแกร่ง ควานทนทานอย่างสูงเป็นตำนานของ F13 และลักษณะเฉพาะตัวหลายประการของ F13 ยังถูกใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างเครื่องบินเชิงพาณิชย์ที่ใช้บินกันกระทั่งทุกวันนี้ แบรนด์  ริโมว่าเองก็เช่นกัน ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการหล่ออะลูมิเนียม รีดลอนเป็นลายลูกฟูก เหมือนกับที่ใช้หุ้มปีกและตัวเครื่องของเครื่องบิน The Junkers F13

 RIMOWA_F13_Making_of_29

Dieter Morszeck ผู้ชุบชีวิต F13 ให้เหินเวหาอีกครั้ง

ในที่สุดลอปติมัม ไทยแลนด์ก็ได้มีการพูดคุยกับผู้ชุบชีวิตเครื่องบิน Junkers F13 มร.ดีเทอร์ โมร์เช็ก (Dieter Morszeck) ประธาน และซีอีโอของริโมว่า (Rimowa) ดวงตาของดีเทอร์เป็นประกาย เมื่อเขาเล่าถึงการรังสรรค์เครื่องบินเอฟ 13 ขึ้นมาใหม่ คงเป็นเสมือนเด็กชายตัวน้อยที่พ่อของเขา ริชาร์ด โมร์เช็ก (ผู้ตั้งแบรนด์ริโมว่าจากชื่อของเขา Richard Morszeck Warenzeichen ในช่วงทศวรรษ 1920s และเป็นผู้นำเสนอนวัตกรรม นั่นก็คือกระเป๋าเดินทางสุดเท่ทำจากอะลูมีเนียมแบบเดียวกับที่ทำปีกเครื่องบินออกสู่ตลาดในปี 1937) มักพาเขาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Deutsches Museum) แล้วเขาก็อยากเห็นเครื่องบินเหล่านั้นเหินฟ้าได้อีกครั้ง ประสบการณ์ในการท่องเที่ยวทางอากาศของเขามีหลายรูปแบบ ตั้งแต่จากการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ แผนกเครื่องบินเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบที่สุด จากการฝึกฝนเป็นนักบินเอกชน ที่มีประสบการณ์ และยามว่างเขาชอบเหินเวหาท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง สิ่งที่ทำให้ดีเทอร์ภูมิที่สุดคือการสานฝันให้เป็นจริงในการสร้างเอฟ 13 จาก ค.ศ. 1919 ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โครงการนี้เป็นการฉลองความเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณแห่งการรังสรรค์ และความคิดใหม่ๆ และสดุดีความเป็นนักธุรกิจของวิศวกรชาวเยอรมัน ฮูโก้ ยุงเกอร์ส ซึ่งเป็น ผู้มีชื่อเสียงในด้านการสร้างเครื่องบินในยุคแรกๆ นอกจาก F13 แล้ว วิศวกรผู้นี้ยังได้พัฒนาเครื่องบินอีกหลายต่อหลายรุ่น โดยเฉพาะรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงอย่าง JU52 ซึ่งคนสมัยนี้ อาจลืมเลือนเรื่องราวเหล่านี้ไปตามกาลเวลา โครงการชุบชีวิต F13 นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2009 โดย Association of Friends of Historical Aircraft ปรึกษาหารือกับบริษัทสร้างเครื่องบิน JU-Air แห่งสวิตเซอร์แลนด์ และ Rimowa แห่งเยอรมนี ทั้งสองบริษัทก็ยินดีเข้าร่วมและสนับสนุนโครงการนี้ แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลานานถึงสี่ปีในการค้นคว้าข้อมูลการสร้างเครื่องบินรุ่นนี้ เพราะไม่มีพิมพ์เขียวใดๆ ทั้งสิ้นหลงเหลืออยู่ สิ่งที่ทีมงานต้องทำก็คือไปเยี่ยมชมตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ และนำเครื่องบินทั้งลำมาสแกน เพื่อให้ได้รูปร่างและสัดส่วนที่แน่นอนแม่นยำในการสร้าง อีกทั้งต้องสรรหาผู้ผลิตเครื่องยนต์ ซึ่งได้แก่ NAEF Flugmotoren AG ผู้มีความเชี่ยวชำชาญทางด้านเครื่องยนต์เครื่องบินรุ่น JU52 ทั้งยังดูแลเครื่องยนต์สำหรับ สำหรับบริษัท JU-Air อยู่แล้ว บริษัท Kaelin Aerotechnologies GmbH เป็นผู้ประกอบโครงสร้าง และบริษัท AeroFem GmbH เป็นผู้ดูแลวิศวกรรมเครื่องยนต์

 RIMOWA_F13_EVent_8

การเปิดตัว The Junkers 13 ที่ EAA AirVenture Oshkosh

แน่นอนทีเดียวสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเปิดตัวในครั้งนี้ จะเป็นที่ใดไปไม่ได้นอกจากที่ออสคอช ในงาน EAA นี่เอง ดีเทอร์ โมร์เช็กได้เคยมาร่วมงานที่นี่เมื่อปี 2006 คงไม่มีบรรยากาศใดๆเหมาะสมกับการเปิดตัวเครื่องบิน F13 นี้ กับผู้ที่หลงใหลในการบินที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ความฝันของดีเทอร์ โมร์เช็กขั้นต่อไป ดีเทอร์บรรยายถึงความรู้สึกเมื่อเขาได้นั่งอยู่เครื่องบินเล็ก บินชมทิวทัศน์อันงดงามอย่างใกล้ชิด ความหฤหรรษ์ที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้เมื่ออยู่เหนือความงดงามแห่งธรรมชาติของธารน้ำแข็ง…”ฝันต่อไปของผม คือการได้ขับเครื่องบินลำนี้เองเพื่อชมทิวทัศน์จากเบื้องบน” เขาพูดอย่างตื่นเต้นมีความสุข ก่อนจะกล่าวลาจากกับเราด้วยภาษาไทยที่ชัดถ้อยชัดคำว่า “สวัสดีครับ”

Content by Kusuma C.

 

 

- Advertisement -