เราอาจจะเคยเห็นดาราดังหลายคนใส่แว่นที่เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ แดเนียล เบกเคอร์แมน ผู้ก่อตั้งแบรนด์แว่นตากันแดด SUPER แต่นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไว้ก่อนอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ลองมาดูกันหน่อยสิว่า อะไรทำให้อัจฉริยะทางดีไซน์ผู้นี้ ‘หยั่งรู้’ ถึงปรากฎการณ์เช่นนี้ได้
จากสายเลือดจารีตนิยมแบบอิตาเลียนจากฝั่งแม่ และจริตผู้ดีแต่รักความแปลกใหม่แบบอังกฤษของพ่อ ทำให้แดเนียล เบคเกอร์แมน ได้รับอิทธิพลมาจากบุพการีทั้งสองมาอย่างเต็มที่ การผสมรวมของความคิดทั้งสองขั้วทำให้เขาเกิดแบรนด์แว่นที่ดังระดับโลกอย่าง Super (ที่ก่อตั้งในนามบริษัท Retrosuperfuture ตั้งแต่ปี 2007) ความโดดเด่นในผลงานระดับโลกของเราการันตีเรื่องคุณภาพที่ผลิตในอิตาลี 100 เปอร์เซ็นตื บวกกับดีไซน์แบบอวองต์-การ์ด และสีสันที่ไม่เหมือนใคร ทำให้แว่นของเขาเป็นเหมือนผลงานศิลปะบนใบหน้าที่มัดใจคนได้ทั่วโลก สามารถขยายไปทั่วโลกมากกว่า 350 สาขา เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการแว่น ลูกค้าที่เป็นระดับเซเลบริตี้ของเขามีตั้งแต่ ดาฟต์-พังก์, เซียนนา มิลเลอร์, โยโกะ โอโนะ, คาลา เดลาวีน, ริอานนา, บิยอนเซ, เจสซิกา อัลบา, คานเย เวสต์ ถึงแม้แว่นของเขาจะโด่งดังในวงการเสียขนาดนี้ แต่ความเจ๋งของแดเนียลคือ ‘เขาไม่เคยเอาผลงานของเขาไปโฆษณาแฝงในภาพยนตร์หรือโทรทัศน์แม้แต่ครั้งเดียว’
เขาแต่งตัวสบาย แค่เสื้อยืดและกางเกงยีนส์ผมสั้นๆ แบบเด็กผู้ชายทั่วไป และไม่มีรอยสัยแม้แต่ที่เดียวในตัว คำว่า ‘เทรนดี้’ คงจะไม่เหมาะหากเราจะนิยามบุคคลิกของเขา เพราะคำว่า ‘คูล’ ดูจะเหมาะกว่าในการอธิบายความเป็นแดเนียล เพราะทุกชิ้นที่เขาใส่ ทุกอย่างที่เขาทำ ล้วนแต่มีความหมายทั้งนั้น เขาอยากให้ตัวเองเป็นเทรนด์ เซ็ตเตอร์ ไม่ใช่เหยื่อของการตลาดแฟชั่น เขาเคยบอกว่า ‘จริงๆผมไม่ได้คลั่งไคล้แฟชั่นมากขนาดนั้น’ ในฐานะนักธุรกิจอายุน้อยที่กระโดดเข้าโลกของการแข่งขันทั้งๆที่มีประสบการณ์ในการบริหารงานเพียงน้อยนิด แต่มีหัวใจของการทำงานอย่างเต็มเปี่ยม รวมทั้งต้องเริ่มคิดคำนวนตัวเลขด้วย
‘มันเริ่มมาจากการที่ผมมีความคิดที่อยากจะทำอะไรสักอย่าง เราต้องสร้างอะไรขึ้นมาเองจากความเป็นไปได้ ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นผมคงไม่สามารถพัฒนามันไปได้ต่อ ในอีกด้านหนึ่งผมพยายามคิดเป็นแบบขั้น เป็นตอนและเป็นวิทยาศาสตร์เหมือนอย่างที่ ลีโอนาร์โด ดา วินชี ผสมผสานศิลปะและวิทยาศาสตร์ได้อย่างลงตัว’
ก่อนที่แดเนียลจะก้าวเข้ามาเป็นนักธุรกิจอย่างเต็มตัว เขาเคยเรียนทางด้านสถาปัตยกรรมอยู่ที่โรงเรียนโพลีเทคนิกที่เมืองมิลาน เค้าสารภาพว่า ‘ตอนนั้นผมไม่ค่อยตั้งใจเรียน รู้สึกเสียเวลาชีวิตไปมาก เลยตัดสินใจบินไปที่ลอสเองเจลิสและลอนดอน ทั้งไปเที่ยวแล้วก็ไปเป็นเด็กเสิร์ฟ หลังจากนั้นก็กลับมาอิตาลี ปรึกษากับพี่ชายว่าอยากจะหาอะไรสักอย่างทำ สุดท้ายเราก็ได้เริ่มทำงานออกแบบกัน เป็นงานออกแบบไอคอนสำหรับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ต่อมาพวกเราก็เริ่มทำนิตยสารที่มีชื่อว่า PIG เป็นนิตยสารอินดี้ที่นำเสนอทั้งเรื่องแฟชั่น เพลง การแต่งตัว รวมทั้งเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ (ปัจจุบันก็ยังทำอยู่) หลังจากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มในวงการนิตยสารเริ่มอยากจะทำโปรเจคตัวเองขึ้นมาบ้าง ในที่สุดเขาก็คิดถึงการทำแว่นตาขึ้นมา’
‘ผมสนใจโลกของมนุษย์เงินเดือนนะ พวกเขาเป็นคนที่น่าสงสารเพราะตอนนี้มีแต่คนสนใจแต่สินค้าไฮแบรนด์ พอผมมองเห็นช่องว่างตรงนี้ที่น่าจะไปต่อได้ ผมบอกตัวเองเลยว่า ถ้าอย่างนั้นตัวผมนี่ล่ะที่จะเป็นคนทำเพื่อพวกเขาเอง’ แล้วเขายังกล่าวอีกว่า ‘ราคาสินค้าในแบรนด์ระดับสูง ก็แพงลิ่วจนซื้อไม่ได้ ส่วนร้านที่วางขายอยู่ข้างนอก คุณภาพก็แย่เกินกว่าจะใส่ได้เหมือนกัน’
ความท้าทายได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อความคิดของเขากำลังจะกลายเป็นจริง เขานึกอยู่สักพักและบอกว่า ‘ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าจริงๆแล้ว เราเริ่มมาจากตรงไหน ผมเคยเปิดสมุดหน้าเหลือง เพื่อลิสต์รายชื่อแว่นที่มีอยู่ทั้งหมด และโทรไปหาพวกเขาทีละร้าน คนใกล้ตัวรวมทั้งเพื่อนของผมมองว่า ผมคงจะบ้าไปแล้ว ไม่มีใครเชื่อผมเลย ยกเว้นแม้ เธอเป็นกำลังใจให้ผมเสมอ พวกเราช่วยเปิดสมุดหน้าเหลือง ไปหน้าแล้วหน้าเล่า แถมแม่ยังบอกให้ผมจดเบอรืทุกร้านให้ครบด้วย’
ความท้าทายครั้งใหม่ของเขากำลังจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อสิ่งที่เขาต้องเผชิญนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าเรื่องงาน ‘ตอนนี้ผมลดเวลาในการทำงานน้อยลงกว่าเดิมแล้วครับ เพราะผมต้องเสียเวลาไปกับงานใหม่ที่ต้องทำเพิ่มตอนกลางคืน แต่เป็นงานที่ผมมีความสุขมากๆ ผมลดเวลาของตัวเองลง เพื่อทุ่มให้กับโปรเจคใหม่ของผม อยากรู้ไหมล่ะว่าอะไร ก็ลูกสาวผมยังไงล่ะครับ!! เห็นไหมล่ะว่าการทำแว่นตาทำให้เขาเป็นคนวิสัยทัศน์และมองการไกลจริงๆ’
Super Spring/Summer 2015